วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน (Ferdinand Magellan).....

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน (อังกฤษ: Ferdinand Magellan), ฟีร์เนา ดี มากาลไยส์ (โปรตุเกส: Fernão de Magalhães) หรือ เฟร์นันโด เด มากายาเนส (สเปน: Fernando de Magallanes) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเกิดที่เมืองซาบรอซา ทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส หลังจากรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและโมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้กับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปนเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกสู่ "หมู่เกาะเครื่องเทศ" (หมู่เกาะโมลุกกะในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) เขาจึงได้รับสัญชาติสเปนด้วย
มาเจลลันได้เดินเรือออกจากเมืองเซบียาในปี พ.ศ. 2062 การเดินทางในช่วง พ.ศ. 2062-2065 ของเขาเป็นการเดินเรือจากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าสู่มหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิก" เป็นครั้งแรก และยังเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกอีกด้วย แต่ตัวมาเจลลันเองไม่ได้เป็นผู้นำการเดินเรือรอบโลกตลอดเส้นทาง เนื่องจากถูกชนพื้นเมืองฆ่าตายที่เกาะมักตันในหมู่เกาะฟิลิปปินส์เสียก่อน (อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มาเจลลันเคยเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกสู่คาบสมุทรมลายูมาแล้ว จึงเป็นนักสำรวจคนแรก ๆ ที่เดินทางข้ามเส้นเมอริเดียนเกือบทุกเส้นบนโลก) จากลูกเรือ 237 คนที่ออกเดินทางไปกับเรือ 5 ลำ มีเพียง 18 คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกได้สำเร็จและกลับไปสเปนได้ในปี พ.ศ. 2065[1][2] นำโดยควน เซบัสเตียน เอลกาโน นักเดินเรือชาวบาสก์ซึ่งทำหน้าที่บัญชาการเดินเรือแทนมาเจลลัน ส่วนลูกเรือลำอื่น ๆ อีก 16 คนมาถึงสเปนในภายหลัง โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกโปรตุเกสคุมตัวที่หมู่เกาะเคปเวิร์ดระหว่าง พ.ศ. 2068-2070 และอีก 4 คนเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือตรีนีดัดที่เดินทางไปด้วย แต่เรือแตกในหมู่เกาะโมลุกกะ
ชื่อของมาเจลลันยังถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ "เพนกวินมาเจลลัน" ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบ,[3] "เมฆมาเจลลัน" ซึ่งเขาสังเกตเห็นระหว่างการเดินเรือ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าที่จริงเมฆนี้เป็นกลุ่มดาราจักรแคระใกล้กับดาราจักรทางช้างเผือก, "ช่องแคบมาเจลลัน" เส้นทางที่มาเจลลันใช้เดินเรือเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และ "ยานมาเจลลัน" ยานสำรวจที่องค์การนาซาส่งไปสำรวจดาวศุกร์ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2534

มารู้จักวาสโกดากามากัน

วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) นักสำรวจชาวโปรตุเกสพร้อมลูกเรือ 265 คน เป็นชาวยุโรปคณะแรกที่ค้นพบ อินเดีย วาสโก ดา กามาได้รับมอบหมายจาก พระเจ้ามานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Manuel I of Portugal) ให้เดินเรือไปค้นหาอินเดียซึ่งชาวตะวันตกสมัยนั้นเชื่อเป็นดินแดนคริสเตียน และเพื่อการค้าเครื่องเทศกับโลกตะวันออก โดยออกจาเมืองท่าในกรุงลิสบอนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2040 เดินเรือไปตามเส้นทางที่ บาโทโลมิว ไดแออส (Batolomeu Dias) ได้เคยสำรวจไว้ก่อนหน้า ผ่าน แหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) จนมาถึงชายฝั่งมาลาบาร์ (Malabar Coast) เมืองคาลิคัต (Calicut) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ในสมัยที่อินเดียยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) จากนั้นได้กลับมาอินเดียอีก 2 ครั้ง ก่อนจะป่วยและเสียชีวิตที่เมืองโคชิ (Kochi) ประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2067

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

เกรดเฉลี่ย และกิจกรรมระหว่างเรียนสำคัญด้วยหรือ…..?


ส่วนบนของฟอร์ม
ส่วนล่างของฟอร์ม
เกรดเฉลี่ย และกิจกรรมระหว่างเรียนสำคัญด้วยหรือ…..?ฉันคิดว่าหลายคนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจ อาจติดค้างมานาน แต่ไม่รู้ถามใครดี แล้วจะได้คำตอบที่ถูกต้องหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ฉันเองก็เหมือนกัน ตอนยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คำถามนี้ป้วนเปี้ยนวนเวียนในหัวหลายต่อหลายรอบ เรียนไปถามตัวเองไป…มันจำเป็นสักแค่ไหนกันเชียว เรียนให้จบตามเวลาที่เขากำหนดไว้ ก็จะตายอยู่แล้ว จะมาเอาอะไรกับเกรดที่สวยหรู กิจกรรมที่โก้เก๋อีก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แถมยังไม่สามารถหันหน้าไปถามใครได้อีก ก็ไม่มีใครรู้นี่เห็นรุ่นพี่หลายคนเกรดร่อแร่ เฉียดฉิว ได้งานดีๆ ตั้งเยอะ บางคนตั้งใจเรียนขนาดพลาดเกียรตินิยมเหรียญทองเส้นยาแดงผ่าแปด ฉันก็ยังเห็นเดินแตะฝุ่นอยู่เลย ไหนจะกิจกรรมอีก แค่เรียนอย่างเดียวก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า พ่วงท้ายกิจกรรมยาวเป็นหางว่าว ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตงานนี้ นักกิจกรรมตัวยงหลายคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีงานโน้นงานนี้สารพัด ก็เกิดอาการหวงแหนมหาวิทยาลัยเอามากๆ เลยขออยู่ต่ออีกปีสองปีกันเป็นแถว นอกจากไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่ค้างคาใจแล้ว สิ่งที่ได้เห็นกับตายังทำให้สับสนมากขึ้นไปอีก จะเอาไงดีกับชีวิตฉันเนี่ย…สำหรับใครที่ตอนนี้คิดแบบนี้ อย่าเพิ่งสับสนกับชีวิตนะ ใจเย็นๆ ฉันมีคำตอบมาให้แล้ว ที่ถามว่าเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมสำคัญด้วยหรือ? ขอบอกตรงนี้เลยว่า “สำคัญ” แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีปัจจัยอื่นอีกเยอะที่ทำให้คุณได้หรือไม่ได้งาน อย่างที่บอกกันมาตลอด ไม่อยากให้คุณพลาดหรือมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากเกินไป คุณก็ควรใส่ใจมันบ้างพอเป็นพิธีมาเริ่มที่เกรดเฉลี่ย หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่า GPA สำหรับสาขาสังคมศาสตร์ควรอยู่ในระดับ 2.8 ขึ้นไป ส่วนสาขาวิทยาศาสตร์ขอแค่ 2.5 ขึ้นไปก็ปลอดภัยแล้วล่ะ ที่บอกว่าปลอดภัยนี่หมายถึง โอกาสผ่านการพิจารณาเกรดสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ของคุณจะมีสูงนั่นเอง อย่างน้อยเขาก็ไม่สะดุดตา เอะใจ กับเกรดอันน้อยนิดของคุณ จนทำให้ต้องมานั่งตัดสินใจเลือกอีกครั้ง แทนที่จะผ่านไปดูคุณสมบัติอื่นๆต่อ ถ้าคุณรักษาระดับความปลอดภัยของเกรดเฉลี่ยไว้ได้ รับรองโอกาสผ่านฉลุยในรอบแรกมีสูงกว่า 95%ทำไมต้องเอาเกรดเฉลี่ยมาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาใบสมัครงานด้วย?เมื่อก่อนฉันก็ไม่เข้าใจ มันวัดความสามารถการทำงานในอนาคตของเราได้เหรอ ไม่เห็นเกี่ยวกันสักหน่อย เรียนแค่ผ่านก็น่าจะพอ…เกรดเฉลี่ยวัดความสามารถในการทำงานไม่ได้หรอก แต่มันวัดความรับผิดชอบในหน้าที่ของคุณได้ อย่างน้อยการที่คุณสามารถเรียนได้เกรดในระดับปลอดภัย แสดงให้เห็นว่าคุณมีความรับผิดชอบในการเรียน ในสิ่งที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ทำ ในการบริหารจัดสรรเวลาได้อย่างดี นอกจากเรียนจบเหมือนคนอื่นๆ แล้ว คุณยังมีความสามารถอีกตั้งสามอย่างข้างต้นเป็นของแถมพ่วงท้ายมาด้วย นายจ้างที่ไหนล่ะไม่อยากเลือกคนเก่งมีความสามารถอย่างคุณมาร่วมงาน ดีกว่าไปคว้าใบสมัครของใครที่ไม่มีของแถมตั้งเยอะ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น คุณ ลองนึกถึงยาสีฟันในซุปเปอร์มาร์เกตดูสิ ขนาดและยี่ห้อเหมือนกัน กล่องหนึ่งไม่มีของแถม อีกกล่องแถมแปรงสีฟันหนึ่งอัน แต่ขายในราคาเท่ากัน คุณคงไม่เลือกอันแรกแน่ใช่ไหม?ความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของชีวิตการทำงาน ช่องต่างๆ ที่มีให้กรอกในใบสมัครงานของทุกบริษัท ไม่มีช่องไหนบอกได้ว่าคุณมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ช่องเกรดเฉลี่ยจึงถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการวัด แม้ไม่สามารถวัดได้ถูกต้อง 100% แต่ถือว่าวัดได้ใกล้เคียงกว่าช่องอื่นๆ โดยเฉพาะช่องที่เว้นไว้ให้คุณเขียนเกี่ยวกับตัวเอง ในช่องนั้นคุณเขียนอย่างไรก็ได้ ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานมาวัดว่าจริงหรือไม่จริง ดังนั้น จงระมัดระวังและใส่ใจเกรดเฉลี่ยของคุณบ้างนะส่วนกิจกรรมระหว่างเรียนที่หลายคนสงสัยว่าสำคัญด้วยหรือ…เช่นเดียวกัน คือ “สำคัญ” แต่ไม่ใช่ทั้งหมด การ ทำกิจกรรมสามารถบอกได้ว่าคุณเคยทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างเป็นระบบมาก่อน มีการเรียนรู้เกี่ยวกับการแบ่งงานกันทำ การทำงานเป็นทีม การมุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ซึ่งนั่นคือปัจจัยหลักของทำงานในองค์กรทั่วๆ ไปถ้า คุณผ่านกิจกรรมเหล่านี้มาบ้าง มันจะการันตีว่าคุณได้เรียนรู้ระบบการทำงานที่ถูกต้องมาแล้ว สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตการทำงาน อย่างน้อยกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา คงพอทำให้คุณเห็นปัญหาของการทำงานร่วมกับคนมากๆ วิธีการหลีกเลี่ยงและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกันส่วนใหญ่คำถามเกี่ยวกับการทำ กิจกรรมระหว่างเรียน ผู้สัมภาษณ์มักให้คุณเล่ารายละเอียดของกิจกรรมที่คุณคิดว่าทำแล้วประสบความ สำเร็จที่สุดให้ฟัง โดยพยายามถามถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานนั้นสำเร็จ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมวิธีแก้ไขปัญหาของคุณ ซึ่งถ้าไม่ได้ลงมือทำเองจริงๆ คุณจะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจน…อย่าลืมเตรียมข้อมูลส่วนนี้ไปด้วยนะ คุณได้ใช้มันแน่นอนคราว นี้รู้แล้วใช่ไหม?…สองสิ่งที่หลายคนเคยสงสัยมีความสำคัญอย่างไรกับการสมัคร งาน ฉันไม่ปฏิเสธว่าคนเรียนไม่ดีได้งานดีก็เยอะ คนไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยได้งานเร็วกว่าคนที่ทำเป็นบ้าเป็นหลังก็แยะ แต่คนที่ “เยอะ” “แยะ” นี้ เขาต้องมีคุณสมบัติอะไรบางอย่างในใบสมัครที่โดดเด่น เข้าตา จนทำให้บริษัทยอมทิ้ง 2 สิ่งนี้ไปได้ถ้า มั่นใจว่าคุณมีคุณสมบัติที่น่าสนใจเหมือนกัน ฉันก็ไม่ว่าอะไร หากคุณไม่ใส่ใจกับเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมระหว่างเรียน แต่ถ้ามองเท่าไหร่แล้วไม่เจอเลยสักข้อ ขอเถอะนะ…ใส่ใจกับมันสักหน่อยก็ยังดีคุณวางแผนจะเรียนต่อปริญญาโทหรือเปล่า?เหมือน เป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่รู้ไหม ฉันต้องตอบคำถามนี้ให้กับบรรดาลูกค้าที่มาขอคำปรึกษาบ่อยที่สุดคำถามหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าคำถามนี้เริ่มฮิตใช้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนฉันหางานไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก อาจเพราะปัจจุบันการเรียนจบแค่ปริญญาตรีไม่เพียงพอแล้วก็ได้ บัณฑิตแทบเหยียบเท้ากันตายในตลาดงาน สู้กัดฟันเรียนต่ออีกนิดเป็นมหาบัณฑิต คงพอแข่งขันกับคนอื่นได้มากขึ้น และฉันคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้แค่มหาบัณฑิตก็คงไม่พอหลาย มหาวิทยาลัยแข่งกันเปิดหลักสูตรปริญญาโทมากมาย จนทุกวันนี้เดินชนกันไปชนกันมาในมหาวิทยาลัยวันละหลายรอบอยู่เหมือนกัน สงสัยต่อไปต้องเปลี่ยนคำถามเป็น “คุณวางแผนจะเรียนต่อปริญญาเอกหรือเปล่า?” ก็ได้ ใครจะไปรู้ผู้สัมภาษณ์ถามคำถามนี้เพื่อจะได้ทราบว่าคุณวางแผนเกี่ยวกับการเรียนต่อในอนาคตหรือไม่ บางตำแหน่งจำเป็นต้องให้เวลากับงานมากเป็นพิเศษ การที่คุณต้องใช้เวลางานไปเรียนบ้างเป็นบางคราวจึงมีผลกระทบกับงานอย่าง แน่นอน หรือบางตำแหน่งต้องการความรู้ความสามารถในระดับปริญญาโทมาสนับสนุนให้งานมี ประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต การที่คุณวางแผนเรียนต่อนับเป็นเรื่องดีของบริษัท ไม่ต้องหาคนใหม่มาแทนคุณ เพราะเวลานี้คุณสมบัติของคุณเข้าตาบริษัทแล้วหลายคนกลัวคำถามนี้ ด้วยคิดว่าบริษัทไม่มีนโยบายสนับสนุนการเรียนต่อของพนักงาน กลัวจะไม่ได้งานถ้าตอบไปว่ามีแผนเรียนต่อ ฉันขอให้คุณตอบตามความจริงดีกว่า ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่างน้อยก็มีการซักถามเรื่องนี้กันก่อนในห้องสัมภาษณ์ คุณจะได้ทราบว่าจริงๆ แล้วบริษัทมีนโยบายให้พนักงานเรียนต่อหรือไม่ ถ้ามี ขอบเขตอยู่ตรงไหน มีข้อจำกัดอะไรบ้าง คุณจะได้นำมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจต่อไปถ้าคุณกำลังจะเรียน ต่อ หรือกำลังเรียนอยู่ ขอให้แจ้งผู้สัมภาษณ์ก่อน ถ้าบริษัทไม่มีนโยบายให้เรียนต่อ คุณก็ทำงานนั้นไม่ได้ เว้นเสียแต่คุณสมบัติอันโดดเด่นคับแก้วของคุณจะทำให้บริษัทยอมเปลี่ยนแปลง อะไรบางอย่าง เพื่อให้ได้คุณมาร่วมงานด้วย กรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่เห็นไม่บ่อยนักบริษัทส่วนใหญ่มักสนับสนุนการเรียนต่อของพนักงาน แต่มีข้อแม้ต่างกันอยู่ว่า คุณต้องใช้เวลางานไปเรียนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ถ้า เวลาเรียนไม่คาบเกี่ยวกับเวลางาน มักไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องใช้เวลางานไปเรียนด้วย อันนี้ต้องมาตกลงกันเป็นรายๆ ไปว่าจะหาทางออกกันอย่างไร เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ถ้าหาทางออกไม่ได้ ไม่ต้องเสียดายที่ไม่ได้งานนี้ อาจมีบริษัทอื่นกำลังรอสนับสนุนให้คุณได้เรียนควบคู่ไปกับการทำงานอยู่ข้าง หน้าก็ได้ถ้าคุณยังไม่มีแผนสำหรับการเรียนต่อ หรือมีแล้ว แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน ฉันขอให้คุณตอบกลับไปว่า “ดิฉัน มีแผนจะเรียนต่อ แต่ยังไม่ทราบว่าด้านไหน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอย่างชัดเจน ขอทำงานหาประสบการณ์ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”คำตอบนี้เป็นกลางที่สุด สำหรับคนที่ยังไม่มีแผน หรือมีแผนแล้ว แต่ยังมองไม่เห็นเวลา มันทำให้คุณดูเป็นคนรักความก้าวหน้า มีการวางแผนชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย และยังเป็นคนใช้ชีวิตอย่างรอบคอบอีกด้วย ไม่ผลีผลามเรียนตามกระแส ขอเรียนตามความชอบและสามารถนำมาใช้งานได้ในอนาคต เอาเป็นว่าคำตอบนี้ช่วยชีวิตคุณได้มากๆ แน่นอนในห้องสัมภาษณ์งาน อย่าลืมจำไปใช้นะ ไม่อย่างนั้นคุณอาจถูกมองว่าเป็นคนไร้อนาคตไปเลยก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ยอมบอกวิธีเอาตัวรอด…เกณฑ์การพิจารณาที่น่าสนใจในการสัมภาษณ์งานนอกจาก คำแนะนำทั้งหมดที่บอกไปแล้ว ฉันยังมีเกณฑ์ในการพิจารณาผู้เข้าสัมภาษณ์งานของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ แห่งหนึ่งมาฝากกันอีกด้วย เขาจะแบ่งการพิจารณาออกเป็นสองส่วน ดังนี้•สิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้- สุขภาพสมบูรณ์- มีผลการเรียนดี- มีไหวพริบในการตอบคำถาม- แสดงออกอย่างมีสัมมาคารวะ- มีความสามารถในการสื่อความ- บุคลิกภาพ การแสดงออก แต่งกายดี- แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล- ควบคุมอารมณ์ได้ดี• สิ่งที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้- การปรับตัวเข้ากับสังคม สภาพแวดล้อม- มองโลกในแง่ดี- ความซื่อสัตย์สุจริต กตัญญู- กระตือรือร้นในการเรียนรู้งาน- ความคล่องตัวในการทำงาน- หนักเอาเบาสู้ เท้าติดดินเมื่อ อ่านจบตรงนี้แล้ว คุณคงพอเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ฉันได้บอกมาทั้งหมดมากขึ้น เกณฑ์ที่ยกมาให้เห็นเป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ในการ ประเมินผู้เข้าสัมภาษณ์งาน อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะงานและวัฒนธรรมขององค์กร อย่างเช่น ความกตัญญูและสัมมาคารวะจะมีความสำคัญในองค์กรไทยมากกว่าองค์กรข้ามชาติลอง อ่านช้าๆ ทีละข้อ แล้วมองกลับมาที่ตัวเอง คุณมีครบทุกข้อแล้วหรือไม่ ถ้ามีครบ ฉันมองไม่เห็นภาพการว่างงานของคุณเลย แต่ถ้าไม่ครบ ลองดูสิ ยังขาดข้อไหนอีกบ้าง รีบเติมให้ครบก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ หรือถ้าไม่ทันจะเติมให้มั่นใจอีกครั้งในห้องสัมภาษณ์ก็ได้ โดยเฉพาะ “สิ่งที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้” ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบคำถามและการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้สัมภาษณ์ได้รับรู้ว่าคุณมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ มันคือความสามารถส่วนตัวของคุณแล้วล่ะ แต่ถ้าได้ทำการบ้านมาก่อนบ้าง รับรองว่า…คุณเป็นคนที่เขาเลือกแน่นอน

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

อ่านซ่ะ! สำหรับคนที่ชอบทำอาหาร...


ยำริมน้ำ
วิธีทำ1. กุ้งสดแกะเปลือก ผ่าหลังชักไส้ดำออก เหลือหางไว้ ลวกสุก พักไว้2. ผักกูดลวกในน้ำเดือดพอสุกผ่านน้ำเย็น จัดใส่จานพร้อมด้วยหอมแดงซอย พริกชี้ฟ้าซอยและกุ้งลวก3. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย น้ำพริกเผาให้เข้ากัน ตักราดบนจานเครื่องยำที่เตรียมไว้
ส่วนผสมฐานเค้ก
1. ไข่ 6 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 200 กรัม
3. กลิ่นมะนาว 1 ชช.
4. แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม
5. แป้งข้าวโพด 100 กรัม6. ผงฟู 4 ชช.
วิธีทำ1. อุ่นเตา 180ซี เตรียมถาดอบปูกระดาษไขรอไว้เลยค่ะ
2. ร่อนแป้งเอนกฯ แป้งข้าวโพด และผงฟูรวมกัน 1 ครั้ง
3. ใส่ไข่ น้ำตาลทราย และกลิ่นมะนาวในอ่างผสม ตีให้ฟูข้น แล้วนำส่วนผสมแป้งมาร่อนใส่ลงไป ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือค่ะ
4. เทส่วนผสมใส่ถาด เกลี่ยให้เรียบแล้วนำเข้าอบประมาณ 20-25นาทีค่ะ เมื่อเค้กสุกแล้วคว่ำเค้กบนตะแกรง ดึงกระดาษไขออกพักไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้องค่ะ ระหว่างนั้นก็ไปทำตัวมูสกันค่ะปล. ฐานเค้กจะใช้สปองค์สูตรไหนก็ได้นะคะ เราก็ไม่ได้ใช้สูตรนี้เพราะเห็นส่วนผสมแล้วสยอง ไข่ 6 ฟอง ผงฟู 4 ชช. ดูมันเยอะจังน่ะค่ะส่วนแอพริคอท1. แอพริคอทกระป๋อง 300 กรัม 2. เจลาติน 3 แผ่น (เจลาติน 1 แผ่น = แบบผง 1.5 กรัม)

20 นิสัยวัยรุ่นไทย



1.อาหารสิ้นคิดของวัยรุ่นคือ ข้าวผัดกระเพรา
2.ส่วนใหญ่ที่วัยรุ่นไทยยิ้ม เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
3.วัยรุ่นไทยมักเปลี่ยนใจง่าย
4.วัยรุ่นไทยมักเชื่อเพื่อนมากกว่าเชื่อแฟน
5.ผู้ชายที่ติดแฟน จะถูกเพื่อนรุมประนามว่า ไอคนทิ้งเพื่อน!!!
6.วัยรุ่นไทยรู้ดีว่า การอยู่หน้าคอมเป็นเวลานานกว่า2ชั่วโมง จะทำให้สายตาเสีย ...แต่ไม่เคยมีใครอยู่หน้าคอมต่ำกว่า2ชั่วโมงเลยซักคน
7. หน้าร้านเกมติดป้าย ห้ามเด็กนักเรียนเข้าก่อน14.00น.แต่เวลา8.00น.เป็นต้นไป จะเห็นเด็กหัวเกรียนใส่ชุดอยู่บ้านนั่งเล่นเกม เพราะ..กุเอาชุดมาเปลี่ยน 8. เมื่อวัยรุ่ยไทยนั่งเก้าอี้ในโรงหนังปุ๊ป..จะเอ่ยคำว่า ทำไมร้อนจังวะ!!แต่หลังจากหนังผ่านไปประมาณครึ่งเรื่อง จะได้ยินคำว่า...เมื่อไหร่จะจบวะ กุหนาว!!! 9.ทุกๆ1-2ปี จะมีคำพูดยอดฮิตและติดปาก มากในหมู่ของวัยรุ่นไทย คำพูดเหล่านั้นมาจากชายจมูกโต ที่ชื่อ โน๊ต อุดม!!!
10.ที่ร.รจะมีการเข้าแถวเคราพธงชาติทุกเช้า แต่มีกลุ่มบุคคลหนึ่ง ยอมมาสายเพื่อหลีกเหลี่ยงการเข้าแถวเคราพธงชาติ
11.ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเถียงชนะผู้หญิง..นอกจากตุ๊ด
12.วัยรุ่นชายเกลียดการเรียนร.ด แต่วัยรุ่นหญิงอยากเรียนร.ด เพราะคิดว่ามันสนุก
13. ผู้หญิงที่น่ารัก ขาวๆ มักจะโดนผู้ชายแอบมองทุกรูขุมขนเท่าที่จะมองได้ แต่ผู้หญิงที่ตัวดำๆหน้าตาใช้ไม่ได้ มักจะโดนผู้ชาย มองทีเดียว(ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ)และเมินสายตาหนีไปอย่างไม่มีเยื้อใย
14.ผู้หญิงคิดว่า ถ้าผู้หญิงบอกเลิก แสดงว่าผู้หญิงน้อยใจ แต่ถ้าผู้ชายบอกเลิกแสดงว่า กุทนไม่ไหวแล้ววว!!!!
15.เวลาเรารู้สึกเกลียดหรือไม่ชอบเพลงไหน เรามักจะร้องเพลงนั้นได้
16.ผู้ชายไม่สามารถดูหนังโป๊ได้จบเรื่อง!!
17.หลังจากออกจากห้องสอบ คำแรกที่คุณพูดเมื่อเห็นหน้าเพื่อนคือ...ทำได้ป่าววะ?
18.และคุณจะหัวเราะเมื่อเพื่อนบอกว่า...กุมั่ว!!!
19.เมื่อมีบอยแบรนชายใหม่ๆเข้ามา วัยรุ่นชายจะด่าบอยแบรนนั้นว่าเสี่ยว
20.อยากรู้อยากเห็น

ปิดเทอมนี้คิดหรือยังว่าจะไปไหนกันดี

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในประเทศไทย
อันดับที่ 10 เกาะตะปู
เกาะตะปู ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลด้านนอก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา คิดเป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯตามลำคลองเกาะปันหยีจังหวัดพังงา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย อยู่ทางด้านเหนือในเวิ้งอ่าวของเกาะเขาพิงกัน เกาะตะปู มีลักษณะเป็นเกาะเดี่ยว รูปร่างคล้ายตะปู มีศัพท์เฉพาะทางธรณีวิทยาว่า เกาะหินโด่ง (Stack) การชมเกาะตะปูต้องชมในระยะไกลจากเรือ หรือจากสันดอนของเกาะเขาพิงกัน ไม่สามารถขึ้นไปบนเกาะได้
อันดับที่ 9 เกาะเต่า
เกาะเต่า มีพื้นที่อยู่ในฝั่งของทะเลอ่าวไทย และอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ลักษณะของ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เกาะเต่า จะมีลักษณะที่โค้งเว้า เหมือนกับเมล็ดถั่ว ซึ่งเกาะเต่า จะตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ เกาะพงัน จ.สุราษฏร์ธานี ระยะทางจากเกาะพงันถึงเกาะเต่า ประมาณสี่สิบห้ากิโลเมตร นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะเต่ายังมีเกาะนางยวนซึ่ง เป็นเกาะเล็กๆ ด้านตะวันตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเต่า มีสันทรายเชื่อมต่อกับเกาะเต่าในลักษณะเหมือนทะเลแหวก เป็นแหล่งดำน้ำชมปะการังอีกแห่งหนึ่ง
อันดับที่ 8 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ในวันที 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2521 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้ประกาศให้ดอยอินทนนท์เป็นอุทยานแห่งชาติ
อันดับ 7 หัวหิน
หัวหิน เป็นอำเภอที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เดิมมีชื่อว่า "บ้านสมอเรียง" หรือ "บ้านแหลมหิน" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้ทรงสร้างวังไกลกังวลเพื่อประทับพักผ่อนในฤดูร้อน และปัจจุบันวังไกลกังวลนั้นเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
อันดับ 6 พัทยา
พัทยา หรือ เมืองพัทยา เป็นเขตปกครองพิเศษเขตหนึ่งที่ตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ เมืองพัทยา ฉบับ วันที่ 29 พฤจิกายน พ.ศ. 2521 (เทียบเท่าเทศบาลนคร) ในเขตจังหวัดชลบุรี จัดเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เมืองท่องเที่ยวนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยเฉพาะหาดทรายที่ ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล จัดได้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย มีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 140 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งพัทยาแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ พัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ และหาดจอมเทียน
อันดับที่ 5 เกาะ ช้าง
เกาะ ช้าง เป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต เกาะช้างมีโรงแรมและรีสอร์ตมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำ และด้วยภูมิประเทศที่มีป่าเขาอยู่กลางเกาะ นักท่องเที่ยวจึงสามารถท่องเที่ยวแบบเดินป่า ขี่ช้างก็ได้เช่นกัน
อันดับ 4 เกาะสมุย
เกาะสมุย เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่อง เที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของอำเภอเกาะสมุยแล้ว ยังมีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ "สปา" หรือการดูแลรักษาสุขภาพโดยการใช้น้ำบำบัด เช่น การอาบ-การแช่น้ำแร่หรือน้ำร้อน
อันดับ 3 หมู่เกาะพีพี
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96 ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่
อันดับที่ 2 หมู่เกาะสิมิลัน
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงามทั้งบนบกและใต้น้ำ มีปะการังที่สวยงามหลายชนิด สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก สามารถพบปลาที่หายาก เช่น วาฬ โลมา ปลาไหลมอเร่(moray) ช่วงเดือนที่น่าเที่ยวมากที่สุด คือช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนเมษายน นอกจากนั้นจะประกาศปิดเกาะ
อันดับ 1 หาดป่าตอง
หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็น สถาน ที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย หาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาด สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด
หาด ป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในชายหาดสำคัญที่ได้รับการติดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ มีการซักซ้อมการอพยพและการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะๆ

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

''ของว่างกินอย่างไรจึงดี''


เมื่อพูดถึงการกินของว่างระหว่างมื้ออาหาร หลายคนมักคิดว่าควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กินอาหารมื้อหลักได้น้อยลง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คุณพ่อคุณแม่มักไม่สนับสนุนให้เด็กๆ กินขนมหรือของจุบจิบ สำหรับใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก การกินของว่างดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคสำคัญเพราะคิดว่าจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินพอดี
อย่างไรก็ตาม การกินของว่างระหว่างมื้อไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หรือสุขลักษณะของการกินอย่างที่เข้าใจกัน ตรงกันข้ามการกินของว่างระหว่างมื้ออาจจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าการกินอาหารเป็นมื้อๆ อย่างเดียว เพราะการกินทีละน้อยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด อินซูลิน ไขมัน และฮอร์โมนไม่ขึ้นสูงจนเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับการกินอาหารมื้อหลักที่ใช้เวลาย่อยนานกว่า ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นเบาหวานสามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดและอินซูลินดีขึ้น ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงจะช่วยลดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดและระดับไตรกลีเซอไรด์ และสำหรับคนน้ำหนักเกินมาตรฐานจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี ไม่หิวบ่อย ในบางคนยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามการกินของว่างที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารว่าง เวลาและความถี่ในการกินด้วย
ฉลาดกินของว่างช่วงบ่าย
เนื่องจากระยะห่างระหว่างมื้อกลางวันกับมื้อเย็นค่อนข้างนานพอสมควร ช่วงประมาณ 4 โมงเย็น หลายคนจึงรู้สึกไม่มีแรง สมองไม่แล่น ดังนั้นของว่างที่เหมาะในเวลานี้ได้แก่ พวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย คุณไม่ได้ฟังผิดหรอกค่ะ นั่นเพราะหากคุณมีพลังงานเพียงพอ ก็จะไม่เหนื่อยล้ามาก และระงับความอยากที่จะกินอาหารซึ่งให้ไขมันสูงได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจช่วยป้องกันไม่ให้คุณกินอาหารหนักเกินในช่วงมื้อเย็นได้ด้วย
นอกจากนี้หากมีแรงพอตลอดช่วงบ่าย คุณอาจอยากออกแรงขยับกายทำนั่นทำนี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสไปออกกำลังกายโดยตรง แต่อัตราการเผาผลาญพลังงานก็จะเพิ่มมากขึ้นจากผลของการกินของว่าง
ของว่างส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนัก
หลักในการกินของว่างเพื่อลดน้ำหนักไม่ใช่การกินหลังจากกินอาหารมื้อหนักๆ แต่เป็นการกินมื้อหลักแบบเบาๆ และไปกินของว่างเพิ่มทีหลัง การแบ่งมื้อเช่นนี้ช่วยให้ไม่กินมากเกินไป เนื่องจากบางคนรีบกินอาหารเย็น เพื่อจะมานั่งดูทีวีบนเตียงจนถึงเวลานอน หรือบางคนทำงานยุ่งทั้งวัน จึงไม่แปลกที่จะเริ่มเบื่อ อึดอัด จนต้องเปิดตู้เย็นหาของกินเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และผลก็คือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทางออกที่ดีของปัญหานี้คือ การกินมื้อเย็นให้น้อยลง เน้นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ หากตกดึกรู้สึกหิว ก็กินของว่างเล็กๆ น้อยๆ ก่อนนอน ทั้งนี้ต้องเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันสูง ให้พลังงานแบบเบาๆ พอเหมาะ เพื่อรองท้องไม่ให้ว่าง เช่น ดื่มนมอุ่นๆ สักแก้ว ให้นอนหลับสบาย ซึ่งแตกต่างระหว่างกินจุบจิบก่อนนอนอย่างที่เคยเข้าใจกัน
ของว่างเพื่อเพิ่มพลังงาน
การกินของว่างนอกจากจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานดีขึ้นและช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ยังนับว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้พลังงานมากๆ เช่น ผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก นักกีฬาที่ซ้อมหนัก เช่น นักปั่นจักรยาน นักวิ่ง นักว่ายน้ำ และกีฬาที่อาศัยความอึด ทั้งนี้ของว่างที่กินเข้าไปอาจให้พลังงานได้ถึง 30% ของพลังงานทั้งหมดใน 1 วัน ด้วยเหตุนี้จึงอาจเห็นนักกีฬาบางคนกินอาหารทีละน้อย แต่กินบ่อยๆ พร้อมกับดื่มน้ำเกลือแร่ ที่ให้สารอาหารครบถ้วนเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนการแข่ง
วิธีฉลาดกินของว่างเพื่อสุขภาพ
• วางแผนสักนิดว่าจะกินของว่างเมื่อไหร่และบ่อยแค่ไหน ถามใจตัวเองว่าอยากกินของว่างเพิ่มเพื่อเพิ่มพลังงานหรือเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ว่าจะตั้งใจแบบไหน ให้จำไว้ตลอดว่ากินอิ่มแต่พอดี ให้เหมาะกับความต้องการของร่างกายและระยะเวลาในการกิน หากไม่วางแผนไว้คุณอาจจะเผลอหยิบ ขนม คุกกี้ มาเคี้ยวจนหมดกล่องภายในพริบตาด้วยความเผลอ ก็จะได้รับไขมันเกินพอดีได้
• เลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพ อาหารหรือขนมขบเคี้ยวมีให้เลือกหลายแบบ เช่น ให้พลังงานมาก ให้ไขมันสูง หรือทั้งสองอย่างปนๆ กันไป ดังนั้นต้องรู้จักเลือกของว่างที่เหมาะต่อสุขภาพสักหน่อย คือให้พลังงานแต่มีไขมันต่ำ ที่สำคัญต้องเลือกให้ถูกปาก (จะได้ไม่เหมือนว่าถูกบังคับให้กิน) และเหมาะกับสภาพแวดล้อมด้วย
• อย่าลืมพกของว่างติดตัว หลายคนพบว่าเมื่อออกไปทำธุระข้างนอก การกินเป็นมื้อย่อยๆตามที่วางแผนไว้ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่สามารถหาซื้อของว่างที่เหมาะสมนอกบ้านได้ ดังนั้นการซื้ออาหารว่างที่มีประโยชน์เก็บสะสมไว้ที่บ้าน และสามารถนำพกติดตัวไปได้จะสะดวกกว่า สำหรับคนที่ห่วงเรื่องฟันผุหลังการกิน แนะนำให้เลือกของว่างที่มีส่วนประกอบของนม หรือโยเกิร์ต ที่มีค่าเป็นกลางต่อฟัน และช่วยปกป้องไม่ให้ฟันผุ หรืออาจเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลหลังการกิน

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

10 วิธีเตรียมตัวก่อนสอบ



1.ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต MP3-4-5-6-88 (ปิดโทรศัพท์หรือบลอคเบอร์เพื่อนขี้เม้าท์) มีสติอยู่กับหนังสือ
2.นั่งสมาธิ5นาทีก่อนอ่าหนังสือ
3.อ่าหนึ่งรอบ แล้วสรุปทั้งหมด(เอาแตกเนื้อน้ำไม่ต้อง)โดยไม่เปิดหนังสือ
4.ทำแบบฝึกหัดและตรวจเช็ดคำตอบ
5.อ่านมันซ้ำอีกรอบหนึ่ง
6.สรุปใหม่อีกรอบดูหนังสือได้เพื่อเป็นการทบทวน
7.ทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8.อ่านเอกสารและชีททุกอย่างที่อาจารย์แจก
9.ท่องในส่วนที่ครูย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย2ครั้งต่อคาบเรียน
10.ก่อนวันสอบห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน ห้ามโต้รุ่ง สมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ พักผ่อนให้พอก่อนวันสอบ

ดนตรีคลาสสิก



ดนตรีคลาสสิก (Classical Music) ประวัติและความเป็นมา
ดนตรีคลาสสิก (Classical Music) ประวัติและความเป็นมา ศิลปการดนตรีมีวิวัฒนาการควบคู่กับมนุษย์มาเป็นเวลาช้านานเช่นเดียวกับงานสถาปัตยกรรม การดนตรีมีความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมไปตามยุคต่างๆตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ในยุคกรีกและโรมัน การดนตรีสอดแทรกอยู่ในงานเฉลิมฉลองต่างๆและกิจการทางศาสนา โดยเริ่มมีการใช้ตัวหนังสือแทนโน้ตดนตรี ในศตวรรษที่ 5 เมื่ออาณาจักรเอมไพร์ล่มสลายลง ทำให้เป็นช่วงเวลาแห่งยุคมืด (Dark Age) ศิลปะแขนงต่าง ๆ รวมทั้งดนตรีก็เสื่อมลง จนกระทั่งถึงยุคกลาง (Middle Age) อันเป็นช่วงต่อระหว่างยุคมืดและยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) การดนตรีได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีก ในศตวรรษที่ 6 ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายดนตรีที่มีความซ้ำซาก ขาดความกลมกลืน อีกทั้งไม่มีเมโลดี้ที่ชัดเจน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในวงการดนตรีขึ้น เริ่มจากการขับร้องที่มีตัวโน้ตพร้อมกัน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นการร้องเพลงประสานเสียง ดนตรีคลาสสิกตะวันตกแบ่งออกเป็นยุคสมัยตามไสตล์และปรัชญาความคิดทางดนตรีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งนี้แบ่งออกเป็นยุคสมัยต่าง ๆ ดังนี้: ยุคกลาง (Middle Age ค.ศ. 500-1400) ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance ค.ศ. 1400-1600) ยุคบาโร้ค (Baroque ค.ศ. 1600-1750) ยุคโรแมนติก (Romantic ค.ศ. 1825-1910) และยุคศตวรรษที่ 20 (Twentieth Century ค.ศ. 1910- ปัจจุบัน)การรื้อฟื้นศิลปการดนตรี ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในยุคกลางนี้เอง แต่เครื่องดนตรีต่าง ๆ ก็ยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้นเป็นดนตรีออร์เคสตร้า เนื่องจากเครื่องดนตรีสมัยนั้นยังล้าสมัยอยู่มากเช่นทรัมเปตไม่มีลิ้น เครื่องเป่ายังมีเสียงไม่ครบ เครื่องสีวีโอลยังมีจุดอ่อนในเรื่องโทนเสียง เป็นต้น ซึ่งได้ใช้เวลาในการพัฒนามาจนถึงศตวรรษที่ 17 เครื่องดนตรีในยุคนั้นได้แก่ ลูท (Lute) ฮาร์พ (Harp) ไพพ์ (Pipe) โอโบ (Oboe) ซึ่งเราจะพบว่าเป็นเครื่องดนตรีของพวกมินเสตร็ล (Minstrel) และทรอบาดอร์ (Trobadour) ที่ใช้ประกอบการขับร้อง และเดินทางท่องเที่ยวไปยังปราสาทต่าง ๆ วิวัฒนาการของดนตรีพวกมินสเตร็ลได้พัฒนาการไปจนสิ้นสุดยุคกลาง และบางเพลงก็ยังมีปราฎอยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ศตวรรษที่ 15 การดนตรีได้เริ่มเบ่งบานขึ้นด้วยการทำงานอย่างหนักของนักดนตรี 3 ท่านคือ พาเลสตริน่า (Giovanni Palestrina 1525-1594) ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งดนตรีสมัยใหม่ (The Father of Modern Music) ลาสซุส (Orland Lassus) และไบร์ด (William Byrd) ท่านทั้ง 3 นี้เป็นผู้เปิดประตูของศิลปการดนตรีจากยุคกลางไปสู่ยุคเรอเนสซองส์ อันเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการทุกแขนง ในยุคนี้งานดนตรีเริ่มมีกฎเกณฑ์ในงานประพันธ์บทเพลงมากขึ้นรวมทั้งเพลงร้องในโบสถ์จำนวนนับร้อยและมอตเต็ตอีกจำนวน 600 เพลงซึ่งทำให้ท่านได้รับการขนานนามว่า บิดาแห่งดนตรีสมัยใหม่ อุปรากร หรือ (Opera) ได้ถือกำเนิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 16 ณ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence หรือ Firence) ประเทศอิตาลี และได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุดที่กรุงเวียนนา (Vienna)ประเทศออสเตรียโดยคีตกวีกลุ๊ค (Gluck) และโมสาร์ท (Wolfgang Amadeus MoZart) ในปลายศตวรรษที่ 18 และช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อุปรากรได้รับการพัฒนาต่อมาอีกอย่างรุ่งเรืองโดยคีตกวีที่มีชื่อเสียงได้แก่ เบลลีนี่ (Belini) โดนีเซตติ (donizetti) รอสซินี่ (Rossini)แวร์ดี้ (Verdi) ปุชชินี่ (Puccini) เป็นต้นดนตรีคลาสสิก (Classical Music) ได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 17 และต่อเนื่องมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 18 โดยมีศิลปินอิตาเลี่ยนเป็นผู้นำ ท่านเหล่านี้ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการดนตรีให้เข้าสู่ชีวิตจิตใจชาวยุโรปอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีเมืองที่เป็นแหล่งกำเนิดของงานดนตรีนี้ได้แก่ โรม เนเปิล ฟลอเรนซ์ อิทธิพลงานศิลปะการดนตรีของอิตาลีได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางสู่ยุโรปตะวันตก ส่วนทางซีกตะวันออกนั้นกรุงเวียนนาเป็นศูนย์รวมที่สำคัญทางดนตรี โดยมีนักดนตรีชาวอิตาเลี่ยนที่สำคัญได้แก่ ซิมาโรซ่า เพสซิชิลโล กัลลูปปี้ ซึ่งเดินทางเข้าไปทำงานที่นครเวียนนา เวียนนาจึงเป็นศูนย์กลางของดนตรีคลาสสิกและมีความรุ่งเรืองติดต่อกันมาถึง 200 ปี ดนตรีคลาสสิกจัดได้ว่าเป็นศิลปะการดนตรีแห่งยุคที่ดนตรีได้รับการพัฒนามาถึงจุดสูงสุดทั้งการประพันธ์และเครื่องดนตรี อาทิ ออร์แกน เปียโน และเครื่องดนตรีของตระกูลไวโอลิน เป็นต้น อันเป็นผลมาจากการการฟื้นฟูศิลปะการดนตรีจากยุคเรอเนสซองส์

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"



เราได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์มาหลายสัปดาห์แล้วนะคะ พักเรื่องอาหารกันสักนิด วันนี้มีวิธีที่จะคลายความเครียดมาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมคะ

1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ

2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่ 1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก 3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์ 3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน

5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ

9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ราชินีองค์แรกของฝรั่งเศส คือใคร?

แอนน์แห่งคิเอฟ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (อังกฤษ: Anne of Kiev หรือ Anna Yaroslavna) (ระหว่างปี ค.ศ. 1024 ถึงปี ค.ศ. 1032 - ค.ศ. 1075) แอนน์แห่งคิเอฟ เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสในพระเจ้าอองรีที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ. 1051 ถึงปี ค.ศ. 1060 และทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสพระราชโอรสเมื่อยังทรงพระเยาว์
แอนน์แห่งคิเอฟประสูติราวระหว่างปี ค.ศ. 1024 ถึงปี ค.ศ. 1032 ทรงเป็นพระธิดาในยาโรสลาฟที่ 1 แห่งคิเอฟ (Yaroslav I of Kiev) และอิงเกอเกิร์ด โอลอฟสโดตเตอร์ (Ingegerd Olofsdotter)
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีมาทิลดาพระอัครมเหสีองค์แรกในพระเจ้าอองรีที่ 1 แล้วพระองค์ก็พยายามเสาะหาพระอัครมเหสีองค์ใหม่จากราชสำนักต่างๆ ในยุโรปแต่ก็ไม่ทรงหาผู้ใดที่มิได้มีความเกี่ยวพันกันทางราชตระกูลได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงส่งราชทูตไปยังคิเอฟผู้กลับมาพร้อมกับแอนน์ (หรือแอกเนส หรือแอนนา) แอนน์และพระเจ้าอองรีที่ 1 ทรงเสกสมรสกันเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1051
แอนน์และพระเจ้าอองรีทรงมีพระราชโอรสด้วยกันสองพระองค์:
พระเจ้าฟิลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส
อูกห์ที่ 1 แห่งแวร์มองดัวส์ (Hugh I of Vermandois) ผู้ต่อมาเป็นเคานท์แห่งเครปี และเสกสมรสกับทายาทของแวร์มองดัวส์ และไปเสียชีวิตในสงครามครูเสดในทาร์ซัสในซิลิเซีย
หลังจากพระสวามีเสด็จสวรรคตในปีค.ศ. 1060 พระองค์ก็ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับบอลด์วินที่ 5 เคานท์แห่งฟลานเดอร์ส (Baldwin V, Count of Flanders) ในพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสพระราชโอรสผู้มีพระชนม์เพียง 7 พรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แอนน์จึงเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศสองค์แรกที่ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แอนน์ทรงเป็นผู้มีการศึกษาซึ่งหายากในยุคนั้นแต่ก็ยังมีผู้ต่อต้านในการที่ทรงทำหน้าที่นั้นโดยอ้างว่าพระองค์ไม่ทรงพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดี
ปีหนึ่งหลังจากพระสวามีเสด็จสวรรคตก็ตกหลุมรักกับเคานท์ราล์ฟที่ 3 แห่งวาลัวส์ผู้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองพอที่จะหย่ากับภรรยามาแต่งงานกับแอนน์ในปี ค.ศ. 1062 เมื่อถูกกล่าวหาว่ามีชู้ภรรยาของราล์ฟก็ยื่นคำร้องไปยังสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้ประกาศคว่ำบาตร (excommunicate) แอนน์และเคานท์ราล์ฟ พระเจ้าหลุยส์ที่ 6 ทรงให้อภัยพระราชมารดาซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะพระองค์เองก็ทรงมาประสบปัญหาเดียวกันในคริสต์ทศวรรษ 1090 ราล์ฟเสียชีวิตในเดือนกันยายน ค.ศ. 1074 ส่วนแอนน์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1075 พระบรมศพบรรจุที่แอบบีวิลเลียร์ในเอซอนน์

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ขนมไทย...?


ประวัติความเป็นมาของขนมไทย
ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมี
ฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

ขนมไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ