วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ป่าชายเลน...

ป่าชายเลน หรือ ป่าโกงกาง (อังกฤษ: mangrove forest หรือ intertidal forest) คือเป็นกลุ่มสังคมพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำหรืออ่าว อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล และเป็นพวกที่มี ใบเขียวตลอดปี (evergreen species) ซึ่งมีลักษณะทางสรีรวิทยาและความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora) เป็นไม้สำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นบ้างได้มีการค้นพบป่าประเภทรนี้มาตั้งแต่ เมื่อโคลัมบัส (Columbus) เดินทางมาบริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา ต่อมา Sir Walter Raleigh (1494) ได้พบป่าชนิดเดียวกันนี้อยู่บริเวณปากแม่น้ำในประเทศตรินิแดด (Trinidad) และ กิอานา (Guiana)คำว่า "mangrove" เป็นคำจากภาษาโปรตุเกสคำว่า "mangue" ซึ่งหมายถึงกลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ใช้เรียกตามภาษาของตัวเอง เช่น ประเทศมาเลเซียใช้คำว่า "manggi-manggi" ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลนว่า "manglier" ส่วนภาษาไทยเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าชายเลน" หรือ "ป่าโกงกาง"บริเวณที่พบป่าชายเลนโดยทั่วไป คือตามชายฝั่ง ทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงของประเทศ ในแถบโซนร้อน (tropical region) ส่วนเขตเหนือหรือใต้โซนร้อน (sub-tropical region) จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างแต่ไม่มาก โดยพื้นที่ที่พบป่าชายเลนเช่น ในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และ ไทย เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของ''เทศกาลลอยกระทง''

เทศกาลลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี หรืออยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ถือว่าเป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยเชียวนะคะ เรียกกันว่า งานลอยพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลง เป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม เชื่อกันว่าการลอยกระทง หรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศนั้น กระทำเพื่อเป็นการสักการะ รอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมหานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ใน แคว้นทักขิณาของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบัน เรียกว่าแม่น้ำเนรพุททา

แต่ในปัจจุบันถ้าเราจะสรุปเหตุผลเกี่ยวกับการลอยกระทงแล้ว ก็สามารถสรุปได้ดังนี้
1. เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและพระเจ้า ตามคติความเชื่อโบราณ
2. เพื่อรักษาชนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
3. เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ การดำรงชีวิต

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ค่านิยมของสังคมไทย

ลักษณะค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบัน สภาพสังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามสภาพสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา มีการติดต่อค้าขาย สัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศ มีทุนให้ครู-อาจารย์ ไปดูงานต่างประเทศ การช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีแก่สถาบันการศึกษา ทำให้มีการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่านิยมตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลไปตามสภาพของสังคมด้วยดังนี้
๑. ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับในอดีต มีการศึกษาพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง ตลอดจนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ข้อบังคับของสงฆ์ ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบพฤติกรรมทางวินัยสงฆ์ได้ เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา
๒. เคารพเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมไทยต่างกับสังคมชาติอื่น กษัตริย์ไทยเปรียบเสมือนสมมติเทพ คอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน ทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจพระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคนไทย เป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
๓. เชื่อในเรื่องเหตุผล ความเป็นจริง และความถูกต้องมากขึ้นกว่าในอดีต ในสภาวะของเหตุการณ์ต่างๆ ปัจจุบันสังคมไทยรู้จักคิดใช้ปัญญามีเหตุผลมากขึ้น เช่น ได้ออกกฎหมายเพื่อให้ความคุ้งครองเจ้าของความคิด ไม่ให้ใครลอกเลียนแบบได้ เรียกว่า “ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ” เป็นต้น
๔. ค่านิยมในการศึกษาหาความรู้ ปัจจุบันสังคมไทยต้องแข่งขันกันตลอดเวลา การจะพาตนเองให้รอดจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยในสังคมปัจจุบันต้องเสาะแสวงหา
๕. นิยมความร่ำรวยและมีเกียรติ สังคมไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญเรืองความร่ำรวยและเงินทอง เพราะมีความเชื่อที่ว่าเงินทองสามารถบันดาลความสุขตอบสนองความต้องการของคนได้
๖. มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยทุกคนกล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออกทางความคิดและการกระทำ มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้
๗. ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ลักษณะกลัวการเสียเปรียบ กลัวสู้เพื่อนไม่ได้ เพื่อการอยู่รอดจึงต้องทำการแย่งชิงแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
๘. นิยมการบริโภค นิยมบริโภคของแพง เลียบแบบอย่างตะวันตก รักความสะดวกสบาย ใช้จ่ายเกินตัวเป็นการนำไปสู่การมีหนี้สินมากขึ้น
๙. ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทุกวันนี้คนล้นงาน จึงต้องรู้จักกำหนดเวลา การแบ่งแยกเวลาในการทำงาน การเดินทางและการพักผ่อนให้ชัดเจน
๑o. ชอบอิสระไม่ชอบอยู่ภายใต้อำนาจของใคร ไม่ชอบการมีเจ้านายหลายคน ในการทำงานมักประกอบอาชีพอิสระ เปิดกิจการเป็นของตนเอง
๑๑. ต้องการสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชายเท่าเทียมกัน หญิงไทยในปัจจุบันจะมีความคล่องแคล่ว สามารถบริหารงานไดเช่นเดียวกับผู้ชายเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ ภรรยาจึงไม่ใช่ช้างเท้าหลังอีกต่อไป
๑๒. นิยมการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก ที่มีความเจริญทางวัตถุมากกว่าจิตใจ ผู้ใหญ่ควรทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน เหมาะสมกับศีลธรรมจรรยา
๑๓. นิยมภาษาต่างประเทศในยุคโลกาภิวัตน์ ปัจจุบันภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นมาก เพราะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตำราหรืออินเตอร์เน็ตมีความจำเป็น ต้องมีความรู้ทางภาษาต่างประเทศ หากไม่มีก็ยากต่อการศึกษาและนำไปใช้

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)
การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก" กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก? จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารสมองในวัยเรียน

อาหารบำรุงสมอง/กินอะไรแล้วจะฉลาด
ตั้งแต่อดีตกาล มีการค้นคว้าหาอาหารที่จะกินแล้วทำให้สมองมีการทำงานได้มากขึ้น พูดง่ายๆว่ากินแล้วให้เรียนเก่ง หรือจำได้มากขึ้นนั่นเองมีการค้นคว้ามากมายถึงอาหาร/สารอาหารหลายๆตัวในเรื่องนี้ เราจะมาดูกันว่า มันมีผลตามที่คุณคิดไว้หรือไม่
1. ซุบไก่สกัดหลายๆคนคงเคยเห็น โฆษณาที่มีเด็ก มากินแล้วดูเหมือนเด็กจะฉลาดขึ้น ก็ต้องบอกได้เลยครับว่ามันเป็นแค่โฆษณาเท่านั้นสารอาหารในซุบไก่สกัดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโปรทีนที่ย่อย/หมักมาแล้ว มันอาจจะมีประโยชน์บ้างในคนที่ระบบการย่อยอาหารไม่ปกติดี แต่ในคนปกติแล้ว การกินซุบไก่สกัด ไม่ส่งผลประโยชน์อันใดครับเมื่อช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาอ้างว่า การกินซุบไก่สกัด จะทำให้เกิดคลื่นในสมองชนิดหนึ่งมากขึ้น ซึ่งเจ้าคลื่นที่ว่านี้ ปกติเราจะเกิดเมื่อเรามีสมาธิ เขาเลยอ้างว่าการกินซุบไก่สกัดจะทำให้มีสมาธิมากขึ้นแต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ การมีสมาธิมากทำให้เกิดคลื่นนี้ได้จริง แต่ยังไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการมีคลื่นนี้มากแล้วจะทำให้มีสมาธิมากขึ้นครับ และการมีสมาธิมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฉลาดมากขึ้นด้วย เช่น เด็กบางคนอาจจะมีสมาธิสูงมากกับการเล่นเกมส์ ผู้ชายบางคนมีสมาธิมากเวลาดูประกวดนางงาม

2. วิทามินบีวิทามินบี เป็นส่วนช่วยในการทำงานของสมอง เช่น วิทามินบี12 ช่วยให้เซลประสาทแข็งแรง, วิทามินบี6 ช่วยสร้างสารสื่อประสาทซึ่งแน่นอนทั้ง 2 อย่าง ไม่ได้มีผลช่วยให้เราฉลาดขึ้นแต่อย่างใดครับ

3. วิทามินรวมกรณีนี้ก็คล้ายๆกับของวิทามินบีครับสิ่งที่วิทามินรวมช่วยได้มีเพียงกรณีเดียวคือ การกินอาหารที่ไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการเท่านั้น อาการอย่างอื่น เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ วิทามินไม่มีส่วนช่วยแต่อย่างไร

4. เลซิธินเลซิธิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในสมอง เชื่อกันว่าการกินแล้วจะไปช่วยเสริมสร้างสมองเราได้แต่จากการทดลองแล้ว ไม่พบว่ามันมีส่วนช่วยแต่อย่างใด(ไม่งั้นคนที่กินสมองบ่อยๆ ก็จะเก่งมากๆสิ)ถึงแม้เลซิธินอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่ได้มีประโยชน์ในเรื่องความจำและสมองแต่อย่างใด

5. แปะก้วย/กิงโกะตัวนี้เป็นเพียงตัวเดียวในทั้งหมดที่มีความน่าเชื่อถือว่าจะใช้ได้จริงๆครับแต่มีข้อแม้ว่า คุณจะต้องเป็นโรค Alzeimer's เท่านั้น และการใช้แปะก้วย ก็จะช่วยแค่ไม่ให้ความจำแย่ลงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้มีความจำดีขึ้นนอกจากนี้ การใช้แปะก้วยที่จะให้ได้ผลเรื่องนี้ ต้องใช้สารสกัดจากใบครับ คนที่กินเม็ดแปะก้วย จะไม่ได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้เลย

6. น้ำมันปลา + Omega-3ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป้นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งเราพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไปซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองได้ (อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดอาการไขมันในเลือดสูง)ถึงแม้ว่าในอาหารเด็กหลายยี่ห้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วยเพื่อช่วยในจุดนี้ แต่จากการศึกษาแล้วพบว่าน้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยก่อให้เกิดเด็กที่ฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และยังเคยมีคนออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เด็กกินน้ำมันปลา เพราะอาจจะได้รับสารพิษตกค้างที่มากับปลาในปริมาณสูง (ในผู้ใหญ่จะสามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ดีกว่าในเด็ก)สรุปในปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีอาหาร/สารอาหารตัวไหนที่มีฤทธิ์ช่วยให้คนเรามีความจำได้มากขึ้น หรือทำให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้นกระบวนการที่จำทำให้คนเราเก่งขึ้นหรือฉลาดขึ้นนั้น ต้องทำโดยการฝึกครับ ไม่ใช่ด้วยการกินซึ่งวิธีการฝึกนั้น ก้มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้นได้ ก็เลือกเอาวิธีที่คุณคิดว่าเหมาะกับตัวคุณได้มากที่สุดก็แล้วกัน