วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดอกกล้วยไม้ที่เล็กที่สุดในโลก

รายละเอียด เกี่ยวกับ ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลก

ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลก ถูกค้นพบซุกอยู่กับราก ของตัวอย่างกล้วยไม้พรรณอื่น

ดอกกล้วยไม้ นี้ค้นพบโดย นักนิเวศวิทยา(Ecologist) จากสถาบัน EcoMinga plant-conservation foundation

กล้วยไม้นี้ค้นพบที่ภูเขาในประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador)

กล้วยไม้นี้มีขนาดดอกเพียง 2 มิลลิเมตร เท่านั้น



วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

:: แอปเปิ้ลเขียว ::

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)




การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ


วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ระวังอันตรายจากหมูกระทะ

กรมควบคุม เตือนให้ผู้บริโภคระวังการกินเนื้อหมุดิบ เลือดหมูดิบ ป่วยเป็นโรคไข้หูดับ เพราะ ผู้บริโภคบางคนนำเลือดหมูสดๆ มาราดบนเนื้อหมูสดก่อนกิน รวมไปถถึงการกินหมูกระทะ หมุ่จุ่ม เพราะเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ซูอีส จะอยู่บริเวณจมูก คอ หรือต่อมทอมซิลของหมู ซึ่งการฆ่าหมู่มักแทงที่คอ ดังนั้นเลือดจะไหลผ่านคอหมูทำให้เนื้อหมูปนเปื้อนเชื้อโรค โดยโรคนี้สามารถติดต่อได้ 2 ทางคือ 1. การกินหมูดิบ ทั้งเนื้อ เครื่องในและเลือด 2. การสัมผัสกับเนื้อหมูที่ติดเชื้อ รวมทั้งเนื้อหมู เครื่องในหมู และเลือดหมูที่เป็นโรค

คนที่ได้รับเชื้อนี้ 1-3 วัน จะมีอาการเยื้อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้สูง ปวดศีรษะ อาเจียน บางรายไม่รู้สึกตัว ชักกระตุก เป้นอัมพาต บางรายอาจมีเยื้อบุหัวใจ ปอดอักเสบ สายตาพร่ามัว อาจหูหนวกถาวร และมีโอกาสเสียชีวิตร้อยละ 30



วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประมวณภาพวันภาษาไทย :)

เนื่องจากในวันภาษาไทยที่ผ่านมานี้ ห้องของดิฉันได้รับงานให้แสดงในวัวนภาษาไทย ซึ่งห้องของเราก็จัดการแสดงเกี่ยวกับประเพณีไทย ชื่อชุดว่า "การละเล่นไทย" แสดงเป็นห้องที่ 8 ห้องของเราได้จัดการแสดงทั้งหมด 3 ชุดย่อย คือ มอนซ่อนผ้า ม้าก้านกล้วย และรีรีข้าวสาร ซึ่งหนึ่งในผู้แสดงก็มีดิฉันอยู่ด้วยค่ะ การแสดงของเห้องเราไม่ได้ถือว่าเป็นการที่แสดงที่ดีที่สุด แต่ห้องของเราได้โชว์การละเล่นของไทย ก็รู้สึกภูมิใจและประทับใจในการแสดงของห้องเราด้วย และในบทความหน้านี้จะเป็นการประมวณภาพของห้องเราทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังค่ะ...