วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โคลอสเซียม :)

มรดกโลก
โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ)
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็น รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)

สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลมซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

ใต้อัฒจรรย์โคลอสเซียม (Colosseum) และใต้ดินโคลอสเซียม (Colosseum) มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกัน มากทปีๆธิหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน

สนามกีฬาโคลอสเซียม (Colosseum) แห่งนี้ จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง โคลอสเซียม (Colosseum) ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม

7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Vatican City :)


Vatican City State,in Italian officially Stato della Città del Vaticano which translates literally as State of the City of the Vatican, is a landlocked sovereign city-state whose territory consists of a walled enclave within the city of Rome, Italy. It has an area of approximately 44 hectares (110 acres), and a population of just over 800.This makes Vatican City the smallest independent state in the world by area, and also the world's least populated.Vatican City was established in 1929 by the Lateran Treaty, signed by Cardinal Secretary of State Pietro Gasparri, on behalf of the Holy See and by Prime Minister Benito Mussolini on behalf of the Kingdom of Italy. Vatican City State is distinct from the Holy See, which dates back to early Christianity and is the main episcopal see of 1.2 billion Latin and Eastern Catholicadherents around the globe. Ordinances of Vatican City are published in Italian; official documents of the Holy See are issued mainly in Latin. The two entities have distinct passports: the Holy See, not being a country, issues only diplomatic and service passports, whereas Vatican City State issues normal passports. In each case very few passports are issued.The Lateran Treaty in 1929, which brought the city-state into existence, spoke of it as a new creation (Preamble and Article III), not as a vestige of the much larger Papal States (756–1870) that had previously encompassed much of central Italy. Most of this territory was absorbed into the Kingdom of Italy in 1860, and the final portion, namely the city of Rome withLazio, ten years later, in 1870.Vatican City is an ecclesiastica or sacerdotal-monarchical state, ruled by the Bishop ofRome—the Pope. The highest state functionaries are all Catholic clergymen of various national origins. It is the sovereign territory of the Holy See (Sancta Sedes) and the location of the Pope's residence, referred to as the Apostolic Palace.The Popes have generally resided in the area that in 1929 became Vatican City since the return from Avignon in 1377, but have also at times resided in the Quirinal Palace in Rome and elsewhere. Previously, they resided in the Lateran Palace on the Caelian Hill on the far side of Rome from the Vatican. Emperor Constantine gave this site to Pope Miltiades in 313. The signing of the agreements that established the new state took place in the latter building, giving rise to the name of Lateran Pacts, by which they are known.

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดอกเลา -*-



ชื่อสามัญ หญ้าดอกเลา (ยโสธร)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร
เป็นพืชอายุค้างปี ลักษณะของกอหลวม ลำต้นเล็ก ความสูงของต้น 91.74-112.7 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2.71-4.17 มิลลิเมตร ลำต้นเรียบมีสีเขียวเข้ม ข้อสีเขียวมีขนสั้น ๆ ปกคลุมปานกลาง ใบแคบรูปหอก (lanceolate) โคนใบตัดปลายใบเรียวเป็นเส้นและแหลม ใบยาว 43.31-72.35 เซนติเมตร ผิวใบค่อนข้างสากเล็กน้อย ใบเรียบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบ (mid-rib) เป็นเส้นตรงเล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ริมขอบใบด้านหน้าทั้งสองข้างเป็นขอบหนาขึ้นจากแผ่นใบและห่อตัว(convolute) ยาวจากโคนใบไปจนถึงปลายใบ ขอบใบมีรอยหยักฟันเลื่อยถี่ (serrulate) ลิ้นใบ (ligule) เป็นแผ่นขอบลุ่ยเป็นเส้น ๆ (membranous-frayed) ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร กาบใบสีเขียวหุ้มแนบลำต้น ยอดอ่อนโผล่แบบม้วนออกดอกเดือน ตุลาคม-กรกฎาคม ช่อดอกออกที่ปลายยอดแบบช่อแยกแขนง (panicle) ช่อดอกยาว 39.93-49.25 เซนติเมตร ส่วน Head ยาว 18-20.5 เซนติเมตร ลักษณะช่อดอกมีช่อดอกย่อยแตกแขนงจากแกนช่อดอกที่จุดเดียวกันหลายแขนง (open panicle) แต่ละแขนงมีกลุ่มช่อดอกย่อย (spikelet) 3-5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 3 ดอก (floret) ดอกรูปเข็ม สีเขียวอมขาวนวล ยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร มีก้านดอกยาว และมีหาง (awn) แตกเป็น 3 แฉก ยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร โดยแฉกหนึ่งเกิดที่กาบดอกล่าง(lemma)และอีกสองแฉกเกิดที่กาบดอกบน(palea) มีสีเขียวส่วนปลายหางสีม่วง มีกาบหุ้มดอก (glume) สีม่วงอ่อน 2 กาบ ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตร
แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นทั่วไปในสภาพป่าโปร่ง ดินร่วนทราย พื้นที่โล่ง ดินลูกรัง เช่น เขตพื้นที่บ้านปลาอีด ตำบลนาแก อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ตำบลบ้านเก่า กิ่งอำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แม่น้ำท่าจีน ไหลผ่านจังหวัดอะรบ้างหนอ ??

แม่น้ำเจ้าพระยา : เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ปากน้ำโพ และตำบลแควใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ไหลผ่านทางนครสวรรค์ลงมาผ่าน จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร แล้วไหลไปออกทะเลอ่าวไทยที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า และตำบลท้ายบ้าน จังหวัดสมุทรปราการ แม่น้ำเจ้าพระยามีความยาวตั้งแต่นครสวรรค์ถึงปากอ่าวไทย มีความยาวประมาณ 360 กิโลเมตร

แม่น้ำเจ้าพระยา มีเขื่อนกั้นน้ำชื่อเขื่อนชัยนาท หรือเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทเพื่อกักเก็บน้ำใช้สำหรับการชลประทาน

แม่น้ำท่าจีน : เป็นแม่น้ำที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่อยู่ ตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และตำบลหาดท่าเสา จังหวัดชัยนาทแล้วไหลผ่านทางใต้โดยจะมีชื่อเรียกต่างๆ กันไป ตามแต่จังหวัดที่ผ่าน เช่น

- ผ่านตอนใต้ของจังหวัดชัยนาทจะถูกเรียกว่าแม่น้ำมะขามเฒ่า

- เมื่อผ่าจังหวัดสุพรรณบุรีจะถูกเรียกว่าแม่น้ำสุพรรณบุรี

- เมื่อเข้าเขตจังหวัดนครปฐมจะถูกเรียนว่าแม่น้ำนครชัยศรี

- และเมื่อออกสู่อ่าวไทย ที่จังหวัดสมุทรสาคร จะถูกเรียกว่าแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำท่าจีน มีความยาวประมาณ 300 กิโลเมตร

แม่น้ำแม่กลอง : เป็นแม่น้ำที่เกิดจากการรวมกันของแม่น้ำแควใหญ่

( ต้นกำเนิดจาก เขาคอสินสะทรีกับเขาในเขตอำเภออุ้มผาง ) และแม่น้ำแควน้อยที่บริเวณตำบลปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแม่น้ำที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่นกันคือ

- จากบริเวณต้นน้ำมาจนถึงจุดรวมกับแม่น้ำแควน้อย จะถูกเรียกว่าแม่น้ำแควใหญ่

หรือแม่น้ำศรีสวัสดิ์

- บริเวณที่ไหลผ่านจังหวัดราชบุรี จะถูกเรียกว่า แม่น้ำราชบุรี

- บริเวณที่ไหลลงสู่อ่าวไทยที่อำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดสมุทรสงครามจะถูกเรียกว่า แม่น้ำแม่กลอง

แม่น้ำแม่กลองมีเชื่อมอเนกประสงค์ กั้นถึง 4 เขื่อนคือ เขื่อนเขาแหลม เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา และเขื่อนวชิราลงกรณ์ ความยาวของแม่น้ำท่าจีนจนถึงสมุทรสงครามนี้มีความยาวประมาณ 520 กิโลเมตร

แม่น้ำบางปะกง : ต้นน้ำเกิดจากการรวมกันของแม่น้ำหนุมานและแม่น้ำปรง

ที่จังหวัดปราจีนบุรี จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันดังนี้

- บริเวณที่ผ่านจังหวัดปราจีนจะถูกเรียกว่าแม่น้ำปราจีนบุรี

- บริเวณที่ผ่านทางจังหวัดฉะเชิงเทรา จะถูกเรียกว่า แม่น้ำแปดริ้ว

- บริเวณที่ไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอบางปะกงกับอำเภอเมืองจังหวัดชลบุรีแม่น้ำบางปะกงมีความยาวประมาณ 230 กิโลเมตร

แม่น้ำป่าสัก : มีต้นกำเนิดจากจังหวัดเลยไหลผ่านจังหวัดลพบุรี สระบุรี

และอยุธยา มีความยาวถึง 500 กิโลเมตร

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แม่น้ำมูล : แหล่ง กำเนิดของต้นน้ำอยู่ที่เขาวง กับเขาละมั่งในเขตอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ แล้วไปรวมกับแม่น้ำชี และไหลออกสู่แม่น้ำโขง ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำมูล มีความยาวประมาณ 641 กิโลเมตร

แม่น้ำชี : มี ต้นน้ำที่เขาพญาป่อ ในเขตอำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ แล้วไหลผ่าน ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธรแล้วไปรวมกับแม่น้ำมูลที่เส้นแบ่ง เขตอำเภอเขื่องใน กับอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีความยาวประมาณ 765 กิโลเมตร

แม่น้ำสงคราม : มี ต้นกำเนิดที่เกิดจากการรวมกันของสาขาลำน้ำที่เกิดจากเทือกเขาพูพาน ไหลผ่านอุดรธานี สกลนคร หนองคาย แล้วไหลออกสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอท่าอุเทนจังหวัดนครพนม แม่น้ำสงคราม มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 420 กิโลเมตร

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลอย ลอยกระทง... ^___^


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไปในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประวัติปาท่องโก๋



ปาท่องโก๋ที่คนไทยเรียกนั้น แท้จริงแล้วมีชื่อเรียกว่า อิ่วจาก้วย ตามภาษาแต้จิ๋ว หรือภาษาฮกเกี้ยน อิ่วเจี่ยโก้ย หรือ เจี่ยโก้ย โดยมีที่มาจาก สมัยราชวงศ์ซ้อง ที่มีขุนนางกังฉินชื่อว่า "ฉินข้วย" หรือ "ฉินฮุ่ย" มีความอิจฉาริษยา นายทหาร "เยียะเฟย" หรือ แม่ทัพงักฮุย จึงได้วางแผนให้ฮ่องเต้เรียกตัวงักฮุยกลับจากแนวหน้า และ ฉินข้วย ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตในเวลาต่อมา ข่าวล่วงรู้ไปถึงประชาชนจึงโกรธแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วงนั้นชาวจีนนิยมรับประทานแป้งทอดอยู่แล้ว จึงมีคนคิดเอาแป้งสองชิ้นมาประกบกันเพื่อเป็นตัวแทนขุนนางกังฉินกับภรรยาแซ่หวัง แล้วนำมาทอดกินเพื่อระบายความแค้น เรียกว่า “อิ่วจาก้วย” หมายถึง น้ำมันทอดฉินข้วยส่วนที่คนไทย เรียกว่า ปาท่องโก๋ นั้น เพราะจำมาผิด เนื่องจาก สมัยก่อนชาวจีนที่ขายปาท่องโก๋ (ขนมน้ำตาลทรายขาวซึ่งออกเสียงว่า แปะทึ่งกอ หรือ แปะถึ่งโก้) มักจะขายเอิ่วจาก้วยด้วย พอคนขายตะโกนขายปาท่องโก๋ จึงเข้าใจว่า ปาท่องโก๋ คือ แป้งทอดอิ่วจาก้วย นั่นเอง แต่ในพื้นที่ภาคใต้ผู้คนยังคงนิยมเรียกว่า อิ่วเจี่ยโก้ย อยู่หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า เจี่ยโก้ย ตามแบบภาษาฮกเกี้ยน