วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ป่าชายเลน...
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ความเป็นมาของ''เทศกาลลอยกระทง''
เทศกาลลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี หรืออยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ถือว่าเป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยเชียวนะคะ เรียกกันว่า งานลอยพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลง เป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม เชื่อกันว่าการลอยกระทง หรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศนั้น กระทำเพื่อเป็นการสักการะ รอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมหานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ใน แคว้นทักขิณาของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบัน เรียกว่าแม่น้ำเนรพุททา
แต่ในปัจจุบันถ้าเราจะสรุปเหตุผลเกี่ยวกับการลอยกระทงแล้ว ก็สามารถสรุปได้ดังนี้
1. เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและพระเจ้า ตามคติความเชื่อโบราณ
2. เพื่อรักษาชนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
3. เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ การดำรงชีวิต
1. เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและพระเจ้า ตามคติความเชื่อโบราณ
2. เพื่อรักษาชนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
3. เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ การดำรงชีวิต
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ค่านิยมของสังคมไทย
๑. ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับในอดีต มีการศึกษาพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง ตลอดจนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ข้อบังคับของสงฆ์ ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบพฤติกรรมทางวินัยสงฆ์ได้ เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา
๒. เคารพเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมไทยต่างกับสังคมชาติอื่น กษัตริย์ไทยเปรียบเสมือนสมมติเทพ คอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน ทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจพระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคนไทย เป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
๓. เชื่อในเรื่องเหตุผล ความเป็นจริง และความถูกต้องมากขึ้นกว่าในอดีต ในสภาวะของเหตุการณ์ต่างๆ ปัจจุบันสังคมไทยรู้จักคิดใช้ปัญญามีเหตุผลมากขึ้น เช่น ได้ออกกฎหมายเพื่อให้ความคุ้งครองเจ้าของความคิด ไม่ให้ใครลอกเลียนแบบได้ เรียกว่า “ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ” เป็นต้น
๔. ค่านิยมในการศึกษาหาความรู้ ปัจจุบันสังคมไทยต้องแข่งขันกันตลอดเวลา การจะพาตนเองให้รอดจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยในสังคมปัจจุบันต้องเสาะแสวงหา
๕. นิยมความร่ำรวยและมีเกียรติ สังคมไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญเรืองความร่ำรวยและเงินทอง เพราะมีความเชื่อที่ว่าเงินทองสามารถบันดาลความสุขตอบสนองความต้องการของคนได้
๖. มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยทุกคนกล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออกทางความคิดและการกระทำ มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้
๗. ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ลักษณะกลัวการเสียเปรียบ กลัวสู้เพื่อนไม่ได้ เพื่อการอยู่รอดจึงต้องทำการแย่งชิงแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
๘. นิยมการบริโภค นิยมบริโภคของแพง เลียบแบบอย่างตะวันตก รักความสะดวกสบาย ใช้จ่ายเกินตัวเป็นการนำไปสู่การมีหนี้สินมากขึ้น
๙. ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทุกวันนี้คนล้นงาน จึงต้องรู้จักกำหนดเวลา การแบ่งแยกเวลาในการทำงาน การเดินทางและการพักผ่อนให้ชัดเจน
๑o. ชอบอิสระไม่ชอบอยู่ภายใต้อำนาจของใคร ไม่ชอบการมีเจ้านายหลายคน ในการทำงานมักประกอบอาชีพอิสระ เปิดกิจการเป็นของตนเอง
๑๑. ต้องการสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชายเท่าเทียมกัน หญิงไทยในปัจจุบันจะมีความคล่องแคล่ว สามารถบริหารงานไดเช่นเดียวกับผู้ชายเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ ภรรยาจึงไม่ใช่ช้างเท้าหลังอีกต่อไป
๑๒. นิยมการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก ที่มีความเจริญทางวัตถุมากกว่าจิตใจ ผู้ใหญ่ควรทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน เหมาะสมกับศีลธรรมจรรยา
๑๓. นิยมภาษาต่างประเทศในยุคโลกาภิวัตน์ ปัจจุบันภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นมาก เพราะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตำราหรืออินเตอร์เน็ตมีความจำเป็น ต้องมีความรู้ทางภาษาต่างประเทศ หากไม่มีก็ยากต่อการศึกษาและนำไปใช้
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ
การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก" กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก? จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
อาหารสมองในวัยเรียน
ตั้งแต่อดีตกาล มีการค้นคว้าหาอาหารที่จะกินแล้วทำให้สมองมีการทำงานได้มากขึ้น พูดง่ายๆว่ากินแล้วให้เรียนเก่ง หรือจำได้มากขึ้นนั่นเองมีการค้นคว้ามากมายถึงอาหาร/สารอาหารหลายๆตัวในเรื่องนี้ เราจะมาดูกันว่า มันมีผลตามที่คุณคิดไว้หรือไม่
1. ซุบไก่สกัดหลายๆคนคงเคยเห็น โฆษณาที่มีเด็ก มากินแล้วดูเหมือนเด็กจะฉลาดขึ้น ก็ต้องบอกได้เลยครับว่ามันเป็นแค่โฆษณาเท่านั้นสารอาหารในซุบไก่สกัดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโปรทีนที่ย่อย/หมักมาแล้ว มันอาจจะมีประโยชน์บ้างในคนที่ระบบการย่อยอาหารไม่ปกติดี แต่ในคนปกติแล้ว การกินซุบไก่สกัด ไม่ส่งผลประโยชน์อันใดครับเมื่อช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาอ้างว่า การกินซุบไก่สกัด จะทำให้เกิดคลื่นในสมองชนิดหนึ่งมากขึ้น ซึ่งเจ้าคลื่นที่ว่านี้ ปกติเราจะเกิดเมื่อเรามีสมาธิ เขาเลยอ้างว่าการกินซุบไก่สกัดจะทำให้มีสมาธิมากขึ้นแต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ การมีสมาธิมากทำให้เกิดคลื่นนี้ได้จริง แต่ยังไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการมีคลื่นนี้มากแล้วจะทำให้มีสมาธิมากขึ้นครับ และการมีสมาธิมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฉลาดมากขึ้นด้วย เช่น เด็กบางคนอาจจะมีสมาธิสูงมากกับการเล่นเกมส์ ผู้ชายบางคนมีสมาธิมากเวลาดูประกวดนางงาม
2. วิทามินบีวิทามินบี เป็นส่วนช่วยในการทำงานของสมอง เช่น วิทามินบี12 ช่วยให้เซลประสาทแข็งแรง, วิทามินบี6 ช่วยสร้างสารสื่อประสาทซึ่งแน่นอนทั้ง 2 อย่าง ไม่ได้มีผลช่วยให้เราฉลาดขึ้นแต่อย่างใดครับ
3. วิทามินรวมกรณีนี้ก็คล้ายๆกับของวิทามินบีครับสิ่งที่วิทามินรวมช่วยได้มีเพียงกรณีเดียวคือ การกินอาหารที่ไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการเท่านั้น อาการอย่างอื่น เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ วิทามินไม่มีส่วนช่วยแต่อย่างไร
4. เลซิธินเลซิธิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในสมอง เชื่อกันว่าการกินแล้วจะไปช่วยเสริมสร้างสมองเราได้แต่จากการทดลองแล้ว ไม่พบว่ามันมีส่วนช่วยแต่อย่างใด(ไม่งั้นคนที่กินสมองบ่อยๆ ก็จะเก่งมากๆสิ)ถึงแม้เลซิธินอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่ได้มีประโยชน์ในเรื่องความจำและสมองแต่อย่างใด
5. แปะก้วย/กิงโกะตัวนี้เป็นเพียงตัวเดียวในทั้งหมดที่มีความน่าเชื่อถือว่าจะใช้ได้จริงๆครับแต่มีข้อแม้ว่า คุณจะต้องเป็นโรค Alzeimer's เท่านั้น และการใช้แปะก้วย ก็จะช่วยแค่ไม่ให้ความจำแย่ลงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้มีความจำดีขึ้นนอกจากนี้ การใช้แปะก้วยที่จะให้ได้ผลเรื่องนี้ ต้องใช้สารสกัดจากใบครับ คนที่กินเม็ดแปะก้วย จะไม่ได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้เลย
6. น้ำมันปลา + Omega-3ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป้นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งเราพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไปซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองได้ (อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดอาการไขมันในเลือดสูง)ถึงแม้ว่าในอาหารเด็กหลายยี่ห้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วยเพื่อช่วยในจุดนี้ แต่จากการศึกษาแล้วพบว่าน้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยก่อให้เกิดเด็กที่ฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และยังเคยมีคนออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เด็กกินน้ำมันปลา เพราะอาจจะได้รับสารพิษตกค้างที่มากับปลาในปริมาณสูง (ในผู้ใหญ่จะสามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ดีกว่าในเด็ก)สรุปในปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีอาหาร/สารอาหารตัวไหนที่มีฤทธิ์ช่วยให้คนเรามีความจำได้มากขึ้น หรือทำให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้นกระบวนการที่จำทำให้คนเราเก่งขึ้นหรือฉลาดขึ้นนั้น ต้องทำโดยการฝึกครับ ไม่ใช่ด้วยการกินซึ่งวิธีการฝึกนั้น ก้มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้นได้ ก็เลือกเอาวิธีที่คุณคิดว่าเหมาะกับตัวคุณได้มากที่สุดก็แล้วกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)