วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม..!!!


1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์
ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด
จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป
เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย
แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ
และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2.
การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย

เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด
ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้
ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6
มื้อต่อวัน

3.
ชา กาแฟ
รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง

เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4.
วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ
หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล
ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1

ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น
ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย
แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ
ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น
เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ
กัน

5.
การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์
ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่
เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น

ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6.
แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น
แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน

ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7.
ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด
ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่

และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง
และรับประทานอาหารดีๆ

8.
แอ๊ปเปิ้ล
แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์
แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้

อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9.
การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้

ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ
เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
แค่นี้ก็หายแล้ว

10.
การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย
ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ

เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง
ซึ่งไม่ถูกต้อง

11.
เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที
แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง
เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น

หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ
เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ
ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง
(ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล)
จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น
จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12.
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1
ครั้ง
เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13.
ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8
อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65
เปอร์เซ็นต์
และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า
เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง
ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14.
การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ
ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว
เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15.
เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา

ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16.
การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1
ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50
แคลอรี
เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม
เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน
แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17.
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส
ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ
รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง
และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน
โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้
จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน
และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18.
ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ
ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10
ผลหรือมากกว่านั้น
เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ
ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก
ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19.
รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร
ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง
การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น
ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย
จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20.
หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป
ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น
อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต
หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21.
สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ
ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย
อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก
จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม
ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข
การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22.
การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ
ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น
ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23.
การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร
รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ

เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร
เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24.
ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน
1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม
วิตามินต่างๆ
ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ
2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา
3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25.
ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก
ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก

เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน
ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ
เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น