วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม..!!!


1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์
ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด
จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป
เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย
แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ
และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2.
การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย

เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด
ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้
ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6
มื้อต่อวัน

3.
ชา กาแฟ
รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง

เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4.
วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ
หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล
ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1

ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น
ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย
แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ
ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น
เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ
กัน

5.
การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์
ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่
เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น

ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6.
แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น
แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน

ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7.
ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด
ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่

และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง
และรับประทานอาหารดีๆ

8.
แอ๊ปเปิ้ล
แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์
แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้

อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9.
การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้

ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ
เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
แค่นี้ก็หายแล้ว

10.
การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย
ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ

เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง
ซึ่งไม่ถูกต้อง

11.
เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที
แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง
เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น

หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ
เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ
ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง
(ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล)
จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น
จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12.
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1
ครั้ง
เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13.
ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8
อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65
เปอร์เซ็นต์
และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า
เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง
ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14.
การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ
ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว
เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15.
เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา

ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16.
การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1
ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50
แคลอรี
เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม
เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน
แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17.
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส
ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ
รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง
และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน
โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้
จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน
และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18.
ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ
ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10
ผลหรือมากกว่านั้น
เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ
ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก
ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19.
รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร
ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง
การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น
ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย
จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20.
หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป
ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น
อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต
หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21.
สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ
ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย
อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก
จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม
ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข
การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22.
การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ
ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น
ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23.
การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร
รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ

เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร
เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24.
ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน
1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม
วิตามินต่างๆ
ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ
2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา
3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25.
ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก
ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก

เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน
ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ
เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้


วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

" วันขึ้นปีใหม่.. "


ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่
ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่

ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ
ประวัติความเป็นมา
วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับความอร่อยของสลัดผัก...

สลัด
อาหารจานสุขภาพที่อุดมไปด้วยผัก ไม่ว่าจะเป็นผักสด ผักต้ม ตลอดจนผลไม้ สลัดรับประทานกันเป็นอาหารจานแรกก่อนรับประทานอาหารจานหลัก และรับประทานเป็นอาหารจานหลักโดยเพิ่มปริมาณเนื้อสัตว์ให้มากยิ่งขึ้น
เคล็ดลับความอร่อยของสลัด
เคล็ดลับความอร่อยของสลัดอยู่ที่ผักและน้ำสลัด ผักต้องสด ล้างให้สะอาด ทิ้งให้สะเด็ดน้ำก่อนใช้ การหั่นผักต้องใช้มีดที่คม หั่นให้หนาพอที่ส้อมจิ้มติด เช่น แตงกวา มะเขือเทศ ควรหั่นให้หนา 1/2 ซม. เป็นอย่างน้อย ผักจึงจะกรอบ ผักที่หั่นแล้วควรใช้ทันที อย่าทิ้งไว้ให้ผักเหี่ยว เพราะมิพียงคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปเท่านั้น ความอร่อยก็สูญเสียไปด้วย
น้ำสลัดต้องมีรสเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำสลัดน้ำใสหรือน้ำสลัดน้ำข้น เมื่อรับประทานรสชาติจะกลมกล่อมพอดี การทำน้ำสลัดน้ำข้นหรือที่เรียกว่า "น้ำสลัดมายองเนส" (mayonaise) ต้องข้นชนิดที่เมื่อตักราดบนผักแล้วน้ำสลัดไม่ไหล
เคล็ดลับการทำน้ำสลัดน้ำข้นคือ ไข่ไก่ที่ใช้ต้องสด ไข่แดงจะกลมนูน ถ้าไข่เก่าไข่แดงจะแบน ถ้าเป็นไข่เก่ามีวิธีที่ช่วยคือต้องวางไข่แดงไว้สักครู่เพื่อช่วยให้น้ำระเหย การคนไข่แดง ต้องคนกับเกลือก่อน ไข่แดงจะขึ้นฟูเพราะเกลือช่วยดูดน้ำ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับจังหวะในการใส่น้ำมัน ควรใส่น้ำมันทีละน้อย คนจนเข้ากัน จึงใส่น้ำมันใหม่ การใส่น้ำมันสลับกับน้ำส้มที่ผสมก็เช่นเดียวกัน ต้องใส่ทีละน้อย คนจนน้ำมันเข้ากันแล้วจึงใส่น้ำส้ม คนจนเข้ากันจึงใส่น้ำมัน ถึงจะได้น้ำสลัดที่ข้น ส่วนเคล็ดลับการทำน้ำสลัดน้ำใส เพียงใส่ขวดเขย่าเบาๆ เมื่อจะใช้ให้เขย่าขวดก่อนจึงเทราด ควรรับประทานทันทีจึงจะอร่อย
ภาพ:Salad_5.jpg

น้ำสลัดทำให้รับประทานสลัดได้อร่อย และรับประทานได้ในปริมาณมาก การทำสลัดรับประทานเองเป็นเรื่องไม่ยาก เตรียมทำน้ำสลัดรสชาติที่ชอบเก็บใส่ขวดเข้าตู้เย็นไว้ ล้างผักเก็บใส่กล่องเข้าตู้เย็น เมื่อจะรับประทานก็เพียงแต่นำมาหั่นราดน้ำสลัด เพียงเท่านี้เราก็จะได้สลัดอาหารรสอร่อย สะอาด ถูกหลักสุขอนามัย มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับทุกๆ คนในครอบครัว

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

" อุสรณ์ดอนเจดีย์ "

เจดีย์ยุทธหัตถี เป็นเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้สร้างขึ้นตรงที่กระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ แรม ๒ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ ปัจจุบันอยู่ที่ตำบลดอนเจดีย์ ซึ่งเดิมเรียกว่า ตำบลท่าคอย
เจดีย์นี้ถูกค้นพบเมื่อพ.ศ.๒๔๕๖ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรับสั่งให้เจ้าเมืองสุพรรณบุรี พระทวีประชา ชน (อี้ กรรณสูตร) ค้นหาซากเจดีย์เก่าและได้ค้นพบ ซึ่งเชื่อ ได้ว่าน่าจะเป็น เจดีย์ยุทธหัตถีและเมื่อค้นพบแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงสมโภช เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๖ องค์เจดีย์เหลือซากแต่เพียงฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ ๑๙.๕๐ เมตร สูงจากพื้นดินถึงส่วนชำรุด ๖.๕๐ เมตร รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กรมศิลปากรกะงบประมาณในการบูรณะ และตกลงเลือกแบบเจดีย์ยุทธหัตถีที่จังหวัดตาก ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเป็นที่ระลึก ครั้งพ่อขุนรามคำแหงชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ประมาณวงเงินงบประมาณ แล้วจะใช้ประมาณ ๑๙๒,๕๐๐ บาท แต่เนื่องด้วยการเงินของประเทศกำลังขาดแคลนมาก
การบูรณะเจดีย์จึงยังไม่ได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ การสร้างอนุสาวรีย์ที่ดอนเจดีย์ได้เริ่มขึ้นใหม่ โดยรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเริ่มดำเนินการตั้งกรรมการอนุมัติสร้างอนุสรณ์ดอนเจดีย์ขึ้น เพื่อพิจารณาแบบ และการก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ และแบบของเจดีย์ให้เป็นทรงลังกาตามแบบอย่างเจดีย์ใหญ่ที่วัดชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะสันนิษฐานว่า เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลนี้ สมเด็จพระนเรศวร ฯ ได้โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะครั้งนั้นตามคำกราบทูลแนะนำของสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว เช่นเดียวกับเจดีย์ยุทธหัตถี การดำเนินการบูรณะเจดีย์ยุทธหัตถี เริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ รัฐบาลได้ประกาศขอความร่วมมือจากพ่อค้า ข้าราชการ และประชาชน ช่วยกันบริจาคทรัพย์สมทบทุน ได้เงิน ๕.๕ ล้านบาทเศษ จากกองทัพทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กองทัพละ ๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินสมทบทุนทั้งสิ้น ๗,๐๗๗ ล้านบาทเศษรัฐบาลจึงมอบให้กรมศิลปากร ก่อสร้างพระสถูปเจดีย์มีฐานกว้าง ๓๖ เมตร สูงจากพื้นดินถึงยอด ๖๖ เมตร โดยสร้างครอบพระสถูปเจดีย์องค์เดิมเอาไว้ภายใน มีทางเข้าออก ๔ ประตู และได้ออกแบบปั้นพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวร ฯ ทรงคชาธารออกศึก ประดิษฐานอยู่บนแท่น ที่มีฐานขนาดกว้าง ๑๕.๓๐ เมตร ยาว ๒๕.๕๕ เมตร สูง ๙ เมตร เฉพาะอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวร ฯ ทรงช้างศึกหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ กว้าง ๒.๙๐ เมตร ยาว ๕.๕๘ เมตร และสูง ๗ เมตร
ฐานทั้งสองด้านติด ภาพตอนยุทธหัตถี และตอนประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแครง หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สิ้นค่าใช้จ่ายในการสร้างพระสถูปเจดีย์ ๔,๔๔๐,๐๐๐.๐๐ บาท ค่าหล่อปั้นอนุสาวรีย์ เป็นเงิน ๗๙๘,๐๐๐.๐๐ บาท ค่าสร้างแท่นฐานอนุสาวรีย์ ๒๔๘,๐๐๐.๐๐ บาท ค่าสร้างรั้วและศาลาเป็นเงิน ๓๔๗,๕๐๐.๐๐ บาท ค่าเขียนภาพพระราชประวัติ ๑๑๕,๐๐๐.๐๐ บาท ค่าขยายเขตและชดใช้ที่ดินเป็นเงิน ๑๑๑,๔๐๘.๕๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการค่าตบแต่งพื้นบริเวณค่าตบแต่งภายในองค์พระสถูปเจดีย์ค่าพิธีการ และ ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้เสด็จไปเปิดพระบรมรูปอนุสาววรีย์ ณ อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๒
ปัจจุบันในวันที่ ๒๕ มกราคม ของทุกๆ ปี ที่บริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จะประกอบพิธี บวงสรวงเนื่องในวันกองทัพไทย และช่วงปลายเดือน มกราคม จังหวัดสุพรรณบุรีได้กำหนดให้มีงานสมโภช อนุสรณ์ดอนเจดีย์ขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นประจำทุกปี มีการ แสดงงานแสง สี เสียงและการทำสงครามยุทธหัตถี ระหว่าง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับ สมเด็จพระ มหาอุปราชาเพื่อให้อนุชนรุนหลังได้ชมด้วย

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ลักษณะของนักเรียนที่มีประสิทธิภาพ

1. ผู้มีตารางเวลาเรียนอย่างสม่ำเสมอ
2. ทำงานตามตารางที่กำหนดไว้
3. มักจะทำงานตามตารางที่กำหนดไว้ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
4. มักจะทำงานในเวลาไม่ยาวนักและหยุดพักระหว่างทำงาน
5. ทบทวนคำสอน หลังจากฟังคำบรรยาย โดยไม่ชักช้า
6. ไม่ปล่อยงานให้ค้าง จนถึงนาทีสุดท้าย
7. ไม่เสียสมาธิโดยง่าย
8. ไม่ใช้การสอบเป็นแรงจูงใจในการเรียน
9. อ่านหนังสือก่อนจะเข้าชั้นเรียนตามสมควร
10. เข้าฟังบรรยายหรือทบทวนการสอน
11. มีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุด
12. ทำตามแผนการเรียนที่ไว้อย่างสม่ำเสมอ
13. มองการเรียนเป็นสิ่งที่รื่นรมย์
14. เมื่อมีสิ่งกระตุ้นจะทำงานดี
15. ไม่ทำงานหนักมากเกินไปในวันหยุด