วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

:: สมเกียรติ อ่อนวิมล ::




ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการสื่อสารมวลชน และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยวิทัศน์ จำกัด อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549



ประวัติ


ดร.สมเกียรติ เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491 ที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี จบการศึกษาชั้นมัธยมจากจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูจันทรเกษม ระหว่างนั้นก็ได้รับทุนเอเอฟเอส เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปศึกษาที่รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา และกลับมาเรียนต่อจนจบ เมื่อปี พ.ศ. 2514 เข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมาสอบชิงทุนประเทศอินเดียได้ จึงลาออกไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งอินเดีย กรุงนิวเดลี จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ และได้ทุนไปศึกษาปริญญาเอก สาขาการศึกษาภูมิภาคเอเชียใต้ ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา


ชีวิตครอบครัว ดร.สมเกียรติ สมรสกับ ธัญญา ธัญญขันธ์ มีบุตรชายคนเดียวคือ ธัญญ์ อ่อนวิมล ในเวลาว่าง ชอบฟังเพลงลูกทุ่ง และเลี้ยงแมว


การทำงาน


ดร.สมเกียรติ เข้าเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเริ่มเข้าสู่วงการโทรทัศน์ โดยเป็นพิธีกรรายการ ความรู้คือประทีป ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และเริ่มเข้าสู่วงการข่าวโทรทัศน์ ในรายการข่าวทันโลกช่วงดึก

เมื่อปี
พ.ศ. 2528 ดร.สมเกียรติ ร่วมกับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ก่อตั้งบริษัท แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดยเข้าร่วมผลิต ข่าว 9 อ.ส.ม.ท. ในเวลา 20.00 น. จากเดิมที่เป็นเฉพาะการอ่านข่าวในพระราชสำนัก และข่าวประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล มีการปรับปรุง ทั้งรูปแบบการนำเสนอ และเนื้อหารายการ มีผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่เช่น นิรมล เมธีสุวกุล, ยุพา เพชรฤทธิ์, สุริยง จองรีพันธ์, อนุชิต จุรีเกษ, ลดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์, ศศิธร ลิ้มศรีมณี, สาธิต ยุวนันทการุญ, อรุณโรจน์ เลี่ยมทอง รวมทั้งวิทวัส สุนทรวิเนตร์ ที่รายงานพยากรณ์อากาศในรูปแบบใหม่ และผู้ประกาศข่าวรุ่นใหญ่เช่น กรรณิกา ธรรมเกษร หรือ ประชา เทพาหุดี



ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2531 ดร.สมเกียรติ มีความขัดแย้งในเรื่องนโยบายทำข่าวกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล อ.ส.ม.ท. จึงลาออกไปร่วมงานกับ ฝ่ายข่าว ของช่อง 7 สี เป็นระยะสั้นๆ และขอลาออก หลังมีปัญหาจากรายงานข่าว อาการป่วยของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จากนั้น ดร.สมเกียรติ เข้าร่วมผลิตข่าว ททบ.5 เป็นผู้บุกเบิกรายการข่าว โดยริเริ่มผลิตรายการ เช้าวันนี้ และคลื่นวิทยุ จส. 100 รายงานข่าวการจราจร พร้อมทั้งผลิตรายงานข่าวต้นชั่วโมง แก่สถานีวิทยุในเครือกองทัพบกทั่วประเทศ



ดร.สมเกียรติ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในช่วงก่อนหน้า และช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 เมื่อ จส. 100 รายงานข่าวไม่ตรงกับความจริง โดยออกข่าวและความเห็นในเชิงเป็นผลลบ ต่อการชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. หลังจากนั้น ดร.สมเกียรติ เข้าบริหารรายการทาง สทท.11 อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะลงสมัครเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อ พ.ศ. 2539 รับตำแหน่งคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตในระยะสั้นๆ เมื่อปี พ.ศ. 2542 และลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2543 โดยร่วมใน คณะกรรมาธิการ กิจการองค์กรอิสระ กิจการโทรคมนาคม และธุรกิจสถาบันการเงิน ของวุฒิสภาด้วย



ดร.สมเกียรติ ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานข่าว และผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ของ บมจ.ไอทีวี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ภายหลังเครือเนชั่นถอนตัว แต่ก็อยู่ในตำแหน่งเพียงเวลาไม่ถึงสองเดือน



ดร.สมเกียรติ เคยจัดรายการวิทยุเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เช่นรายการ โลกยามเช้า, โลกยามเย็น, ลูกทุ่งคนดัง, ลูกทุ่งเวทีไท และคุยเฟื่องเรื่องไทย แต่ปัจจุบันไม่ได้จัดแล้ว เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่นการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยเจ้าของคลื่น การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ฯลฯ คงเหลือเพียงรายการเดียว คือรายการโทรทัศน์โลกยามเช้า ทางช่อง 3 ที่ปัจจุบันมิได้ดำเนินรายการเองแล้ว


ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550 ดร.สมเกียรติ เขียนบทความปกป้อง ร้อยโทหญิงสุณิสา เลิศภควัต ผู้เขียนหนังสือ ทักษิณ Where are you? จากการเดินทางไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่สหราชอาณาจักร เพื่อนำมาเขียนเป็นหนังสือว่า เป็นการกระทำตามหน้าที่ของสื่อมวลชน และกล่าวโจมตีสื่อในเครือผู้จัดการ ที่เสนอข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของ ร้อยโทหญิงสุณิสา

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

:: เหลืองปรีดียาธร ::

เหลืองปรีดียาธร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia argentea Britt.
ชื่อวงศ์ : Bignoniaceaea
ชื่อสามัญ : Silver trumpet tree, Tree of gold,Paraguayan silver trumpet tree
ชื่อพื้นเมือง : เหลืองปรีดียาธร
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ต้น
ขนาด [Size] : สูงไม่เกิน 8 เมตร
สีดอก [Flower Color] : สีเหลือง
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Ti em] : ก.พ.-มี.ค.
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ปานกลาง
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ดินร่วนระบายน้ำได้ดี
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง
แสง [Light] : แดดเต็มวัน



ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้ต้นชนาดเล็ก ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่แตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆ เปลือกสีน้ำตาล แตกเป็นร่องขรุขระ



ใบ (Foliage) : ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5-7 ใบ ใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 6-18 เซนติเมตร ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือสอบขอบใบเรียบ ผิวใบสีเขียวเหลือบสีเงินทั้งสองด้าน



ดอก (Flower) : สีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ช่อละ 5-7 ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร



ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝัก ยาว 10 เซนติเมตร สีเทามีเส้นสีดำตามแนวยาว เมล็ดมีปีกเป็นเยื่อใสบางๆมีจำนวนมาก



วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตามติดกระแส...แพลงกิ้ง

ทำความรู้จักท่า แพลงกิ้ง สุดฮิต (Planking)


หลายคนบนโลกออนไลน์คงไม่มีใครรู้จักคำว่า แพลงกิ้ง (planking) แน่นอนหรืออาจจะน้อยมากที่รู้จักกับกิจกรรมนี้ เพราะมันเป็นการทำท่าแผลงแบบเฉพาะกลุ่ม



แต่ที่ทำให้คนทั้งโลกออนไลน์รู้จักกับคำว่า แพลงกิ้ง (planking) ก็สืบเนื่องมาจากข่าวการเสียชีวิตของ นายแอคตัน บีล ชายออสเตรเลีย วัย 20 ปี พยายามทำท่า แพลงกิ้ง (planking) บนราวระเบียงอพาร์ตเมนต์สูงเจ็ดชั้น แล้วร่วงลงมาเสียชีวิต นั้นเอง

การทำท่า แพลงกิ้ง (planking) ในขณะนี้กำลังเป็นที่บ้าคลั่งของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก และมันกำลังฮิตมากในโลกของอินเตอร์เน็ต

ซึ่งการทำท่า "แพลงกิง" หรือการโพสท่าเป็นไม้กระดาน ผู้ที่โพสท่านี้จะต้องนอนลงบนพื้นสิ่งของแปลก ๆ คว่ำเอาเฉพาะส่วนท้องแนบกับพื้น และสองแขนแนบลำตัว ที่บางครั้งอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย และทรงตัวบนนั้นโดยที่มือเหยียดตรงอยู่ข้างลำตัว ไม่สามารถใช้ในการประคองตัวได้ แล้วจึงถ่ายภาพมาอวดกันผ่านทางเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กต่าง ๆ


นักโพสท่าไม้กระดานทั้งหลายชาวไทย อยากลองทำท่า แพลงกิ้ง (planking) กับกันดูก็ได้นะ คุณอาจจะเกิดและดังไปทั่วโลก หรือ อาจจะดับตอนนั้นเลยก็ได้



อั้ม พัชราภา


มาร์กี้

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

chocolate ::


History

A Mayan chief forbids a person to touch a jar of chocolate
See also: History of chocolateTheobroma cacao, native to Mexico, Central and South America, has been cultivated for at least three millennia in that region. Cocoa mass was used originally in Mesoamerica both as a beverage and as an ingredient in foods.Chocolate has been used as a drink for nearly all of its history. The earliest record of using chocolate dates back before the Olmec. In November 2007, archaeologists reported finding evidence of the oldest known cultivation and use of cacao at a site in Puerto Escondido, Honduras, dating from about 1100 to 1400 BC. The residues found and the kind of vessel they were found in indicate the initial use of cacao was not simply as a beverage, but the white pulp around the cacao beans was likely used as a source of fermentable sugars for an alcoholic drink. The Maya civilization grew cacao trees in their backyards, and used the cacao seeds it produced to make a frothy, bitter drink. Documents in Maya hieroglyphs stated chocolate was used for ceremonial purposes, in addition to everyday life. The chocolate residue found in an early ancient Maya pot in Río Azul, Guatemala, suggests the Maya were drinking chocolate around 400 AD. In the New World, chocolate was consumed in a bitter, spicy drink called xocoatl, and was often flavored with vanilla, chili pepper, and achiote (known today as annatto). Xocoatl was believed to fight fatigue, a belief that is probably attributable to the theobromine content. Chocolate was also an important luxury good throughout pre-Columbian Mesoamerica, and cacao beans were often used as currency. For example, the Aztecs used a system in which one turkey cost one hundred cacao beans and one fresh avocado was worth three beans. South American and European cultures have used cocoa to treat diarrhea for hundreds of years. All of the areas that were conquered by the Aztecs that grew cacao beans were ordered to pay them as a tax, or as the Aztecs called it, a "tribute".Until the 16th century, no European had ever heard of the popular drink from the Central and South American peoples. It was not until the Spanish conquest of the Aztecs that chocolate could be imported to Europe. In Spain, it quickly became a court favorite. In a century it had spread and become popular throughout the European continent. To keep up with the high demand for this new drink, Spanish armies began enslaving Mesoamericans to produce cacao. Even with cacao harvesting becoming a regular business, only royalty and the well-connected could afford to drink this expensive import. Before long, the Spanish began growing cacao beans on plantations, and using an African workforce to help manage them. The situation was different in England. Put simply, anyone with money could buy it.[20] The first chocolate house opened in London in 1657. In 1689, noted physician and collector Hans Sloane developed a milk chocolate drink in Jamaica which was initially used by apothecaries, but later sold to the Cadbury brothers in 1897.Chocolate in its solid form was invented in 1847. Joseph Fry and Son discovered a way to mix some of the cocoa butter back into the Dutched chocolate, and added sugar, creating a paste that could be moulded. The result was the first modern chocolate bar.For hundreds of years, the chocolate-making process remained unchanged. When the Industrial Revolution arrived, many changes occurred that brought about the food today in its modern form. A Dutch family's (van Houten) inventions made mass production of shiny, tasty chocolate bars and related products possible. In the 18th century, mechanical mills were created that squeezed out cocoa butter, which in turn helped to create hard, durable chocolate.[22] But, it was not until the arrival of the Industrial Revolution that these mills were put to bigger use. Not long after the revolution cooled down, companies began advertising this new invention to sell many of the chocolate treats we see today. When new machines were produced, people began experiencing and consuming chocolate worldwide.










วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

:: เกอิชา คืออะไร ::

...เมื่อวานดิฉันได้ดูรายการทีวีทางช่อง3 ดิฉันได้ยิน คำว่า"เอิชา" แล้วฉันก็ถามพ่อว่า มันคืออะไร พ่อก็อธิบายมาโดยประมาณ ดิฉันยังไม่ค่อยพอใจกับการอธิบายของพ่อ จึงมาค้นคว้าจากอินเทอรืเน็ตข้อมูลที่ได้ก็มีดังนี้ค่ะ...

ความเป็นมาของเกอิชา
เขาว่ามาว่าเกอิชาของญี่ปุ่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นมีเมืองหลวงชื่อ เอโดะ คือในราวต้นศตวรรษปีที่ ๑๗ ยุครุ่ง ๆของเกอิชาในเอโดะมีพนักงาน ในทำนองนี้อยู่ อย่างมากมาย ในย่านเริงรมย์ หรือที่ฝรั่งชอบหรือมักจะเรียกว่า ย่านไฟแดง (red light) แต่เดิมมานั้น เกอิชา คือผู้หญิงที่ถูกฝึกให้มาเป็นเพื่อนคุยและต้อน รับผู้ชายในร้าน อาหารและสถานเริงรมย์บางคนก็เป็น โสเภณีด้วย แต่ไม่ใช่ว่าทุก คนที่จะขายบริการ ทางเพศเสมอไป พอต่อมาเมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคศักดินาสวามิภักดิ์ เรื่อยมาจนถึงหลาย ทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สังคมญี่ปุ่นอยู่ในกรอบของ ชนชั้นทางสังคม ที่เข้มแข็ง มีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างชัดเจน จึงทำให้ผู้หญิง ญี่ปุ่นถูกกดขี่มากขึ้น และไม่มีที่พึ่งทางสังคม พวกเธอมีทางเลือกในชีวิตน้อยมาก จึงได้แต่ออกมาหากิน ด้วยการเป็นเกอิชาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไป

ยุคสมัยโยชิวาร่านั้นมีสำนักของ เกอิชารวมอยู่จนเป็น ย่านเริงรมย์ที่มีชื่อเสียง แต่ทุกวันนี้หายไปหมดแล้ว ในโตเกียวยัง พอมีเกอิชาหลงเหลืออยู่ บ้างแต่ก็น้อยและอายุก็ปาเข้าขั้นคุณป้า คุณน้า คุณอากันทั้งนั้น สมัยก่อนที่กรุงโตเกียวยังมีย่านหนึ่ง เป็นย่านที่มีบ้านเกอิชาตั้งอยู่มากมาย เป็นบ้านเล็ก ๆ น่ารักและ สงบเงียบ ใครไปใคร มาเขาก็มาดูกันจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ไม่มีอะไร ขายหรือจัดโชว์ อะไรทั้งสิ้น มีไว้ให้ดูกัน เท่านั้นเอง แม้เกอิชาที่เหลืออยู่จะมีอยู่น้อยแล้วในกรุงโตเกียว และล้วนแต่จะสูงอายุอย่างที่ว่าไปแล้ว แต่ข่าวเขาว่ายังมีคนเชิญไปทำงานรับจอบอยู่ และ สนนราคานั้นก็ไม่ใช่ว่าถูก ตกครั้งละหนึ่งพันยูเอสดอลล่าเลยทีเดียว เข้าใจว่าบริษัทที่จ้างเกอิชา มานั้นคงเป็นการเลี้ยงรับรองให้เกียรติลูกค้าของเขาอย่างสูง มากกว่า คือจัดรับรอง อย่างมโหฬารอลังการไปเลย เอาเกอิชามานั่งบริการด้วยแบบโบราณซึ่งเป็นของ หายาก เป็นกิจกรรมคลาสสิกมากกว่า จะมาบริการเริงรมย์อย่างในอดีต ส่วนบริการ คงมีแต่จำพวกชงชาและแสดงดนตรี เรื่องอื่นคงไม่ไหวเพราะเกอิชาที่เหลืออยู่มีอายุ มากแล้วจริง ๆแล้ว งานของพวกเธอในอดีต คือคอยบริการเวลาผู้ชายรับประทาน อาหารและสนทนาด้วย พวกเธอต้องร้องเพลงให้แขกสนุกสนาน เล่นดนตรีเต้นรำ ให้ชม และบางครั้งจบลงด้วยการหลับนอนกับแขกด้วยไปเลย




เกอิชาแต่งกายด้วยชุด ญี่ปุ่นแบบโบราณที่สวยงาม ทำผมและแต่งหน้าตามประเพณีเกอิชาที่ถูกต้อง ซึ่งของพวกนี้มีราคาแพงมากที เดียว ถ้าสมัยก่อนพวกเกอิชาจะมีเจ้ามือหรือนายทุนเลี้ยงดู คอยเป็นสปอนเซอร์ หาซื้อกิโมโนมาให้บ้าง ส่งเงินค่าเลี้ยงดูและเป็นผู้อุปถัม แต่ต่อมา ผู้หญิงญี่ปุ่นมีทาง ทำมาหากินอื่นได้มากขึ้น การเป็นเกอิชาจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากแต่วันนี้ มีกลุ่มแม่บ้านของร้านค้าในกรุงโตเกียวย่าน อาซากูซะ ได้รวมตัวกันเปิดกิจการ เกอิชาขึ้นมาและรับสมัครหญิงสาวที่สนใจเข้าร่วมฝึกฝนเป็นเกอิชาต่อไป สำหรับ สาวใดที่สนใจให้ส่งใบสมัครพร้อม ประวัติการเรียนการทำงานและประวัติส่วนตัว ไปให้เขา เมื่อพิจารณารับเข้าเรียนแล้ว หมายความว่าจะได้งานทำด้วยในเวลาเดียว กัน พวกเธอต้องฝึก ร้องเพลงอันเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของอาชีพ เกอิชา และฝึก การชงชาอย่างมีพิธีรีตองไม่ใช่เทพรวด ๆแบบร้านกาแฟ นอกจากนี้ ทางโรงเรียน ยังสอนการสวมกิโมโนแสนสวยให้ด้วย เพราะเวลาทำงานพวกเธอต้องใส่กิโมโน ที่มีชายแขนยาวถึงเข่า ผ้าที่หน้าทับตรงท้องที่ชื่อ โอบิ ( ผ้าอันนี้สีสวย สดและราคา แพงมาก ) เคยไปถามราคาตามร้านกิโมโนดู ตกใจเกือบจะเป็นลม เพราะตกชุดละ แสนถึงล้านบาทไทย สปอนเซอร์ไม่มีเสียด้วยสิ เลยต้องถอย เอา แค่ดอกพยอมยามยากแบบ ชุดยูคาตะ(ชุดใส่หน้าร้อน)ก็พอสวมใส่ง่าย ๆแบบเสื้อธรรมดา การสวมใส่ชุดกิโมโน นั้นต้องมีผู้ช่วยกันเอิกเกริก เพราะไม่ใช่ แค่สวมเสื้อผ้า หากยังมีสายรัดเอวและการ แต่งหน้าทำผมใส่วิกอีกด้วย พวกสาว ๆอายุระหว่าง ๑๘-๒๕ ต้องมาเรียนการเป็น เกอิชาสัปดาห์ละสองวัน ซึ่งต่างล้วนมีงานประจำอื่นอยู่แล้ว จึงเป็นการมาเรียนเพื่อ หาอาชีพเสริม เมื่อเรียนสำเร็จแล้วรายได้ดีทีเดียว



งานของเกอิชาในปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิมมาก และพวกเธอก็ต่างจาก เกอิชาในอดีตมากด้วย เพราะแต่เดิมจะมีแต่คนสูงวัย หน้าตา แข็งกระด้าง ทำงานทุกอย่างตามพิธีรีตอง แต่ทุกวันนี้พวกเธออายุน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม และร่าเริง และอย่างน้อยพวกเธอก็ขายบริการ ทางเพศไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นได้ออกกฏ หมายว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฏหมายมาตั้งแต่ปี ๑๙๕๘ แล้วดังนั้น งานของพวกเธอ จึงเป็นงานแบบลักษณะโชว์ตัว เสียมากกว่า ซึ่งการออกโชว์ตัวครั้งหนึ่งจะมีรายได้ ชั่วโมงละเกือบหนึ่งหมื่นบาท ลักษณะงานก็แบบพวกสาว ๆที่โชว์ตัวตามงานมอเตอร์ โชว์แบบ นั้นแหละ เพียงแต่แทนที่จะใส่บูชและนุ่งฮอตแพนท์ มาสวมกิโมโนแทน บางแห่งจ้างมาเป็นไม้ประดับในการเซ็นสัญญาของบริษัทและทั้งนี้ทั้งนั้นพวกสาว ๆ ยังได้มาฝึกศาสตร์และศิลปหลายอย่าง ตั้งแต่การร้องเพลงญี่ปุ่นการเล่นเครื่องดนตรีเก่า ๆ ประจำชาติเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมประจำชาติที่ดีมาก เขาถึงได้มีข่าวอยู่พักหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่น "กำลังเหลียวไปมองข้างหลังกันจนจะหมดแล้ว"
 การเป็นเกอิชาส่วนที่ยากที่สุดของการฝึกก็คือ การสนทนา เพราะไม่มีคู่มือฉบับไหนสามารถเขียนลงไปได้ว่าจะพูดอย่างไร การเมือง การมุ้ง หรือ ศาสนาพูดได้ไหม การพูดคุยสนทนาจึงเป็นศิลปะที่ต้องเรียนรู้เอาเองจากการออกรอบของ จริง สังเกตจากปฏิกิริยา นิสัยใจคอและบุคลิกของลูกค้า ในข่าวไม่ได้บอกว่ารับเทรน ภรรยาด้วยหรือเปล่า ถ้ารับเทรน พวกสามีอาจรีบส่งภรรยาที่บ้านไปบ้างก็ได้ และในทาง กลับกันภรรยาก็น่าจะมีสิทธิ์ส่งืง สามีไปเทรนบ้าง เพื่อความสบายหูสบายใจในครอบครัว และแน่นอนว่าพ่อแม่ที่มีลูกสาวบอกว่า จะไปเทรนเป็นเกอิชา คงรู้สึกสะดุ้งแน่นอน เพราะอาชีพนี้ เป็นรอยด่างพร้อยของสังคมญี่ปุ่นที่ลบไม่ออก แต่เขาบอกว่าทุกวันนี้พวก พ่อแม่เมื่อได้เข้าไปชมการฝึกสอนของโรงเรียนแล้ว ก็ค่อยวางใจขึ้นมาบ้างว่า เป็นอาชีพ ที่เข้าท่าเหมือนกัน และยังมีรายได้ไม่เลว
อีกทั้งยังบอกว่าเป็นหนทางอนุรักษณ์วัฒนธรร
ม เก่าแก่เอาไว้อีกวิธีหนึ่งด้วย ในยุคที่โลกกำลังเจริญเอามาก ๆจนไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดลง ตรงที่ไหน แต่เป็นการดีที่เราจะหยุดแลหลังเสียบ้าง เพราะถ้าไม่แลหลังเราก็ยากที่จะมอง ไป ข้างหน้าได้อย่างถูกต้อง บางคนบอกว่าเรื่องราวแต่หนหลังนั้นคร่ำครึ หากแต่คนจีนกลับ บอกว่า ความรู้หรือวิชาการนั้นเปรียบได้กับข้างเปล่า ๆที่หล่อเลี้ยง ชีวิตให้อยู้ได้ แต่ประวัติ ศาสตร์และวรรณคดีคือกับข้าวที่ทำให้เราเจริญอาหาร ถ้าเราไม่รู้เสียเลยชีวิตก็ไม่มีที่มาที่ไป...

หลังจากที่ดิฉันค้นคว้าข้อมูลจึงรู้ว่าจริงๆแล้วเกอิชาคืออะไรกันแน่

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลูกอม..ที่คุณกิน อันตรายกว่าที่คุณคิด!!



...วันนี้ตอนเรียน ครูได้พูดถึงอมยิ้ม ซึ่งจริงๆแล้วมันอันตรายกว่าที่ทุกคนคิดนะ เราลองมาดูดกว่าว่ามันอันตรายยังไง...






นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการองค์การอาหารและยา หรือ อย. พร้อมตำรวจกองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปกคบ. ร่วมกันแถลงการทลายแหล่งผลิตอมยิ้มปลอม ที่นำกำลังเข้าจับกุม วานนี้ บ้านเลขที่ 151/8 ซอยประชาอุทิศ 91 ถนนประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร ของกลางที่จับกุมได้ ประกอบด้วย อมยิ้มบรรจุหีบห่อ กว่า 7 พันแท่ง อุปกรณ์การผลิต ทั้งเครื่องจักร เครื่องปรุง และซองบรรจุจำนวนมาก พร้อมกับแจ้งข้อหาผลิตอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะนี้ส่งอมยิ้มไปตรวจวิเคราะห์คุณภาพและมาตรฐานของสีผสมอาหาร โดยต้องรอผลตรวจ
อย.จึงฝากเตือนผู้ปกครอง เด็กที่ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว หากเห็นลูกอม ลูกกวาดหลากสี สีสันฉูดฉาด บรรจุภัณฑ์อยู่ในลักษณะแปลกตา อย่าเสี่ยงซื้อมารับประทาน เพราะอาจได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน เช่น สีย้อมผ้า ซึ่งมีผลเสียต่อตับ ไต นอกจากนี้ อมยิ้มและลูกกวาดปลอม ราคาถูกกว่าอมยิ้มถูกหลักอนามัย